กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--IR network
บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) อัดฉีดงบ 40 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิตท่อร้อยสายไฟฟ้า และซื้อเครื่องจักรผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างในระบบ Post-Tension ต่อยอดธุรกิจในแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น "ธานินทร์ ตันประวัติ" มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจ สดใสตามอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารและอสังหาฯ ที่ยังเติบโต แถมเป็นช่วงไฮซีซั่น หนุนผลงานปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-20%
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ARROW) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ แบ่งเป็นจำนวน 10 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรผลิตท่อร้อยสายไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 เครื่องจากปัจจุบันมีอยู่ 4 สายการผลิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดท่อร้อยสายไฟที่มีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในเดือนกันยายนนี้ และจะช่วยเสริมกำลังการผลิตในส่วนงานท่อร้อยสายไฟได้ประมาณ 20%
ส่วนอีกจำนวน 30 ล้านบาท บริษัทจะนำไปซื้อเครื่องจักรผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างในระบบ Post tension เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจก่อสร้างในอนาคต ซึ่งเครื่องจักรนี้จะมีกำลังการผลิต 150 ตันต่อเดือน และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส4/2560
"จากแนวโน้มธุรกิจท่อร้อยสายไฟที่ยังเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี บริษัทจึงได้ลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของท่อร้อยสายไฟให้เพียงพอและรองรับคำสั่งซื้อได้มากขึ้น ที่สำคัญเครื่องจักรนี้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วย ส่วนเครื่องจักรผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างในระบบ Post tension ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มบริษัทที่จะเข้ามาช่วยซับพอร์ตธุรกิจเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ Set Up เครื่องจักร คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ และจะรับรู้รายได้ในไตรมาส4/2560"นายธานินทร์กล่าว
เขากล่าวต่อถึง ภาพรวมธุรกิจไตรมาสที่เหลือปีนี้ ของกลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าจะยังคงทำผลงานขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจจากงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังเติบโต อีกทั้งทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 770 ล้านบาท ประกอบกับคาดว่าจะมีงานใหม่ๆ ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ลงทุนเพิ่มสายการผลิต ท่อร้อยสายไฟที่ได้รับบัตรการส่งเสริม (BOI) อีกหนึ่งสายการผลิต เพื่อช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการงวด 6 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560) ของบริษัทและบริษัทย่อยที่มีกำไรสุทธิ 100.20 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 688.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 10.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 620.83 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจ ทำให้มั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-20 % ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะรักษาให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25-30 %