กรุงเทพฯ--8 ก.ย.--เบรน ยูไนเต็ด
เจเอเอส แอสเซ็ท เดินหน้าเสริมทัพไลน์ธุรกิจค้าปลีก ล่าสุดเปิดตัวบริษัทน้องใหม่ "บีนส์แอนด์ บราวน์" เข้าบริหารธุรกิจร้านกาแฟแบรนด์ "คาซ่า ลาแปง" (Casa Lapin) พร้อมปั้นแบรนด์โกอินเตอร์ ก่อนเข้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีก 3 ปี
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) และประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด เปิดเผยว่า "ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เน้นขยายธุรกิจด้านค้าปลีก มาโดยตลอด ด้วยการเปิดตัวโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ติดต่อกันทุกปี รวม 3 แห่ง ได้แก่ เดอะแจส วังหิน, เดอะแจส รามอินทรา และแจส เออเบิร์น ศรีนครินทร์ มาในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในไลน์ธุรกิจ ค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ "บีนส์แอนด์บราวน์" (Beans & Brown) เพื่อเข้าบริหารธุรกิจร้าน กาแฟแบรนด์ Casa Lapin ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตธุรกิจค้าปลีกของบริษัทฯ แต่ยังเป็นก้าวแรกในการรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารและกาแฟ ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสนใจมานานแล้ว
"เมื่อต้นเดือนสิงหาคม บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งดำเนิน กิจการภายใต้ชื่อ Casa Lapin พร้อมเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการจากบริษัท คอฟฟี่ โปรเจคท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจกาแฟของเมืองไทย ด้วยวงเงิน 42 ล้านบาท พร้อมร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ ในชื่อบริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นของเจเอเอส แอสเซ็ท อยู่ที่ 60% และคอฟฟี่ โปรเจคท์ 40%"
"ทีมคอฟฟี่ โปรเจคท์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างแบรนด์ Casa Lapin ให้มีเอกลักษณ์ แตกต่างจาก แฟรนไชส์ร้านกาแฟอื่นๆ ในตลาดอย่างชัดเจน กลายเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในด้านคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ใช้ มีความพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงกระบวนการชง มีเครื่องดื่มที่หลากหลายและแตกต่าง จากแบรนด์อื่น ทั้งยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ด้วยทีมบาริสต้าที่มีความรู้เกี่ยวกับกาแฟและ เครื่องดื่มเป็นอย่างดี เจเอเอส แอสเซ็ทจึงมองเห็นศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของแบรนด์ Casa Lapin" นายสุพจน์ กล่าวต่อ
ปัจจุบัน Casa Lapin มี 7 สาขา แบ่งออกเป็น 3 สาขาที่ทางบีนส์แอนด์บราวน์เป็นเจ้าของ ได้แก่ ซอยสุขุมวิท 26, ซอยพหลโยธิน 7 (ซอยอารีย์) และเมเจอร์ เอกมัย ส่วนอีก 4 สาขาเป็นร้านของพาร์ทเนอร์ที่ดำเนินงานร่วมกับ บริษัทฯ ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้ ได้แก่ สาขาซอยสุขุมวิท 49, GMM Studio ซอยสุขุมวิท 23, เพลินจิต และราชเวที ด้านหน้าโรงแรมเอเวอร์กรีน เพลส กรุงเทพ
นายสุพจน์ กล่าวถึงเป้าหมายทางธุรกิจของ Casa Lapin ว่า บีนส์แอนด์บราวน์เตรียมจะเปิด Casa Lapin อีก 3 สาขาในปีนี้ โดยอยู่ในทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมืองทั้งหมด และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป มีแผนที่จะเปิดอย่างน้อย 10 สาขาต่อปี โดยมีไฮไลท์อยู่ที่การเปิดแฟล็กชิปสโตร์ ขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 200 ตารางเมตร ในศูนย์การค้า ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพภายในปีหน้า ซึ่งจะเป็นเหมือน Experience Center ที่รวมเรื่องราวและเสน่ห์ของ กาแฟของคนไทยให้นักท่องเที่ยวและคนรักกาแฟได้สัมผัส ในบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ สไตล์ Casa Lapin หลังจากนั้นบริษัทฯ จะขยายสาขาไปสู่ตลาดเอเชีย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองใหญ่อย่าง โตเกียว, โซล, ฮ่องกง, ไทเป และสิงคโปร์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง 600% ภายใน 3 ปี จาก 60 ล้านบาท ในปีนี้ เพิ่มเป็น 180 ล้านบาทในปี 2561 และ 270 ล้านบาทในปี 2562 และ 360 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งเป็นปี ที่บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับเปิดสาขาครบ 40 แห่งทั่ว กรุงเทพ"
ด้านนายสุรพันธ์ ทันตา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด กล่าวว่า "Casa Lapin พยายามสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าทุกคน ผ่านทุกขั้นตอนก่อนจะออกมาเป็นกาแฟที่ ลูกค้าเลือกดื่มสักแก้ว เรียกว่าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทีมงาน Casa Lapin ได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูก กาแฟมาเป็นเวลานาน มีความเข้าใจในเรื่องการดูแลบำรุงต้นกาแฟ การคัดสรรและเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ ไปจนถึง การแปรรูปเมล็ดกาแฟให้มีคุณภาพที่ดี จึงทำให้ Casa Lapin ได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพสูง เป็นกาแฟชนิดพิเศษหรือ ที่ในวงการเรียกว่า Specialty Coffee หลังจากนั้นก็นำเมล็ดกาแฟมาคั่วด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก "Loring S15 Falcon" ซึ่งมีเพียงเครื่องเดียวในเมืองไทย ก่อนจะชงเครื่องดื่มผ่านกระบวนที่พิถีพิถันและอุปกรณ์คุณภาพ ส่วนบรรยากาศภายในร้านจะตกแต่งในสไตล์ Industrial Loft เน้นสร้างความรู้สึกที่อบอุ่น เป็นกันเอง"
"ปัจจุบัน Casa Lapin มีโครงสร้างรายได้ 70% จากการจำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ และอีก 30% จากอาหารและเบเกอรี่ ซึ่งในอนาคตจะมีรายได้จากการขายสินค้าของที่ระลึกเพิ่มเข้ามา โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ของร้านคือคนรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคสินค้าคุณภาพและชอบงานดีไซน์"
"การเข้ามาร่วมทุนของเจเอเอส แอสเซ็ท ทำให้ Casa Lapin สามารถพัฒนาขึ้นได้ในหลายมิติ โดยจะมีทีมงานมือ อาชีพเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ การวางกลยุทธ์ด้านการตลาด และการเทรนนิ่งบุคลากร รวมไปถึงมีการนำ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในด้านการบริการภายในร้าน เช่นด้านการชำระเงิน การรับออร์เดอร์สินค้า ส่วนตัวสินค้า ทางบีนส์แอนด์บราวน์จะมีการจัดตั้งห้องแล็บเพื่ออาร์แอนด์ดีเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง" นายสุรพันธ์ กล่าว