กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.พริมา มารีน ("PRM") พร้อมเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 14 ก.ย.นี้ เป็นวันแรก มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับที่ดี หลังเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ด้านผู้บริหารเดินหน้าแผนงานเพิ่มกองเรืออย่างต่อเนื่องภายใน 3 ปีข้างหน้า จากจำนวน 24 ลำ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณจากการขยายเส้นทางการเดินเรือใหม่ รับแนวโน้มความต้องการใช้เรือเพื่อการขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลว ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันที่ขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 14ก.ย. นี้ โดยใช้ชื่อย่อ 'PRM' ในการซื้อขาย หลังจากที่เสนอขายหุ้นสามัญ IPO จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น ในราคาจองซื้อหุ้นละ 8 บาท ระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมั่นใจว่า หุ้น PRM จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
ทั้งนี้ หลังจากที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ มีแผนเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรือ การสนับสนุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลและบริหารจัดการกองเรือ โดยมีแผนขยายกองเรือที่สำคัญในระหว่างปี 2560-2562 ดังนี้ 1. ธุรกิจเรือขนส่งฯ โดยบริษัทฯ จะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWTประมาณ 9 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,340 ล้านบาท คาดรองรับปริมาณขนส่งสินค้าจากการลงทุนในครั้งนี้เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตรต่อปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ ประมาณ 11 ลำ ประกอบด้วยเรือขนาดประมาณ 14,000 DWTเรือ MR เรือ LR2 เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อการเติบโตของธุรกิจขนส่ง รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตรต่อปี
2. ลงทุนขยายธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU เพื่อเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำมันอีก 4 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท รับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 3. พิจารณาการลงทุนเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่งขุดเจาะน้ำมัน (เรือ FSO) ประมาณ 2 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,090 ล้านบาท รับการเติบโตของธุรกิจการปฏิบัติงานการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบกลางทะเลทั้งในน่านน้ำไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 เรามีกองเรือที่ให้บริการรวมทั้งสิ้น 24 ลำ และมีแผนขยายกองเรืออย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทำให้พริมา มารีน มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเคมีเหลวทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมถึงขยายเส้นทางการเดินเรือใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เส้นทางไทย-เมียนมาร์ ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ตลอดจนขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะประเทศใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตสูง" นายชาญวิทย์ กล่าว
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.พริมา มารีน เป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทยที่ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี โดยมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมานานกว่า 30 ปี ทำให้สามารถบริหารจัดการกองเรือให้เหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมีแผนงานขยายการขนส่งปิโตรเคมีเหลวเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยหลังจากที่ พริมา มารีน ระดมทุนครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้หนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 2 เท่า
ด้านนางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) กล่าวว่า บมจ.พริมา มารีน ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแผนลงทุนขยายกองเรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ3% โดยปีที่ผ่านมามีปริมาณการใช้น้ำมันรวม 1,557 ล้านตัน ซึ่งสูงที่สุดในโลกส่งผลให้มีความต้องการใช้เรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ เพื่อขนส่งไปยังจุดหมายปลายทางเพิ่มขึ้น จึงเป็นผลบวกต่อการผลักดันการเติบโตของพริมา มารีน ในอนาคต หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ระหว่างปี 2557-2559) มีอัตราเติบโตของรายได้ เฉลี่ยปีละประมาณ 11%