กรุงเทพฯ--12 ก.ย.--IR PLUS
SKN ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้เอ็มดีเอฟรายใหญ่ เคาะราคาไอพีโอหุ้นละ7.35 บาท ใช้วิธีสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันที่มีความต้องการล้น 15 เท่า พร้อมเปิดจองระหว่าง 15 และ18 - 20 กันยายนนี้ ก่อนเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 26 กันยายน โดยมี บล. ทิสโก้ เป็นแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ พร้อมด้วยบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีก 6 แห่ง มั่นใจกระแสตอบรับดีเยี่ยม เนื่องจากราคาไอพีโอเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น หลังกำลังการผลิตใหม่จะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในช่วงกลาง Q3/61 รองรับความต้องการแผ่นไม้เอ็มดีเอฟในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าในปัจจุบันล้นทะลัก กำลังการผลิตทำนิวไฮแตะระดับ 90% เรียบร้อยแล้ว
นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า มั่นใจหุ้นไอพีโอของ SKN จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น ร้อยละ 25 ของหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SKN พร้อมด้วยบริษัทหลักทรัพย์ผู้ร่วมจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีกทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
หลังจากทิสโก้ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) กับนักลงทุนสถาบัน ปรากฎว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อหุ้นไอพีโอของ SKN เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยนักลงทุนได้แสดงความต้องการซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุดของช่วงราคา Book Building ที่หุ้นละ 7.35 บาท อย่างล้นหลาม โดยมีความต้องการซื้อหุ้นรวมคิดเป็น 15 เท่าของจำนวนหุ้นที่จะจัดสรรให้กับนักลงทุนสถาบัน ดังนั้น ทิสโก้ และบริษัทฯ จึงได้กำหนดราคาหุ้นที่จะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 7.35 บาท พร้อมกันนี้ บริษัทฯ กำหนดวันเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ ระหว่างวันที่ 15 และ 18 – 20 กันยายนนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันอังคารที่ 26 กันยายน 2560 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "SKN"
การกำหนดราคาไอพีโอที่ 7.35 บาท/หุ้น เป็นระดับราคาที่เหมาะสม กับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ หลังจากเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว หรือมีกำลังการผลิตสูงสุดในระดับ 5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อปี ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการขยายกำลังการผลิตใหม่แล้ว และคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางไตรมาสที่ 3/2561 เป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการเพิ่มยอดขายและกำไร รองรับความต้องการแผ่นไม้เอ็มดีเอฟในตลาดโลกที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องได้
"SKN ถือว่ามีความโดดเด่น ธุรกิจแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติประเภทแผ่นไม้เอ็มดีเอฟของบริษัทฯ อยู่ในเทรนด์ธุรกิจที่มีการเติบโต สินค้ามีความต้องการในตลาดโลกสูงอย่างต่อเนื่อง หรือเติบโตราว 11% สูงกว่าการเติบโตของแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติที่โตราว 4% ประกอบกับความเชี่ยวชาญของผู้บริหารที่อยู่ในธุรกิจไม้แปรรูปมากว่า 30 ปี เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องจักรใหม่และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทได้เปรียบในการแข่งขัน และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม การเข้าจดทะเบียนใน SET ครั้งนี้ เชื่อว่า SKN จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากราคาไอพีโอที่กำหนดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบกับ การโรดโชว์ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปเข้ามาสอบถามข้อมูลเป็นจำนวนมาก จึงมั่นใจ SKN จะได้รับความสนใจจองซื้อ และเป็นหุ้นน้องใหม่ไอพีโอที่สร้างผลงาน ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง" นายทวีชัย กล่าว
นายวิชัย แสงวงศ์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKN ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟชั้นนำของประเทศ เปิดเผยถึง การกำหนดราคาไอพีโอที่ 7.35 บาท/หุ้น เป็นระดับราคาที่บริษัทฯ พอใจ เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 1,470 ล้านบาท จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจำนวน 650-700 ล้านบาท ลงทุนขยายกำลังการผลิต 500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยหลังจากสายการผลิตใหม่แล้วเสร็จจะสนับสนุนให้ ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี จากปัจจุบัน มีกำลังการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟสูงสุดที่ประมาณ 240,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี และในไตรมาส 2/2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาจำนวนมาก ทำให้กำลังการผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟขึ้นไประดับที่ 90% ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มธุรกิจ สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้า และแนวโน้มการเติบโตของแผ่นไม้เอ็มดีเอฟในตลาดโลกที่เติบโตเพิ่มขึ้น
โดยสายการผลิตใหม่จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ของปี 2561 เชื่อว่าจะสนับสนุนให้บริษัทฯ
มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ปลดล็อคในเรื่องของกำลังการผลิต และสามารถรองรับคำสั่งซื้อที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกลยุทธ์เชิงรุก ในการวางแผนงานด้านการตลาด และออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้ารองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว จึงมั่นใจ SKN จะสร้างผลงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ตอบแทนนักลงทุนและผู้ถือหุ้น ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
"SKN คือ ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ประเภทแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ นิยมใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างผลิตเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งในอาคารบ้านเรือน สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายขนาด ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า โดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญสุด ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้ง ISO 9001, ISO 14001 และ MUTU ทำให้ ส.กิจชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการส่งออกแผ่นไม้เอ็มดีเอฟที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลก และเชื่อมั่นว่าหลังจากเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ นอกจากจะได้เงินระดมทุนไปขยายธุรกิจแล้ว จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรของเรามากยิ่งขึ้นด้วย" นายวิชัย กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 414.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 347.53 ล้านบาท กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 71.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 65.89 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการหยุดการผลิตเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อซ่อมบำรุงสายการผลิตตามแผนงานในไตรมาสที่ 1/2560 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น สนับสนุนให้ในไตรมาส 2/2560 สามารถใช้กำลังการผลิตขึ้นไปแตะนิวไฮสูงสุดที่ระดับประมาณ 90% ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 742.52 ล้านบาท กำไรสำหรับงวด 103.71 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมในปี 2559 อยู่ที่ 1,492.17 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 262.58 ล้านบาท โดยลูกค้าหลักบริษัทฯ เป็นกลุ่มลูกค้าต่างประเทศเกือบทั้งหมด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 95–99% ของยอดขายรวม