กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการที่ได้ลงพื้นที่เพื่อซักซ้อมความเข้าใจกับผู้ประกอบการค้าข้าวที่จะรับซื้อข้าวอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด นาอินทรีย์ 1 ล้านไร่ ณ อำเภอด่านขุนทด และอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยการพูดคุยได้ข้อสรุป ดังนี้ ผู้ประกอบการยินดีรับซื้อข้าวอินทรีย์ที่เข้าร่วมโครงการ โดยก่อนที่จะมีโครงการนี้ ทางผู้ประกอบการต้องหาซื้อข้าวจากจังหวัดข้างเคียง ดังนั้นจึงมองว่าโครงการนี้มีประโยชน์อย่างมากที่ช่วยให้เกิดการจับคู่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างแท้จริง โดยในการรับซื้อนั้น ทางผู้ประกอบการยินดีที่จะรับซื้อทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาร ในกรณีข้าวเปลือก กลุ่มเกษตรกรสามารถหารือกับโรงสีได้ว่าจะส่งเป็นข้าวสดหรือข้าวแห้ง โดยโรงสีพร้อมที่จะเปิดจุดรับซื้อในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับแปลงนาเกษตรกร แต่หากเกษตรกรต้องการแปรรูปก่อนเพื่อขายเป็นข้าวสาร ผู้ประกอบการก็ยินดีให้คำแนะนำในการยกระดับคุณภาพโรงสีชุมชนของกลุ่มเกษตรกรให้ได้มาตรฐาน เพื่อพร้อมที่จะสีข้าวอินทรีย์ต่อไป
สำหรับราคา ทางผู้ประกอบการยินดีจ่ายเพิ่มให้ในราคาตันละ 500 บาท สำหรับข้าวในระยะ 2 ปีแรกที่อยู่ในระยะเตรียมความพร้อมและปรับเปลี่ยนเป็นข้าวอินทรีย์ และในปีที่สาม จะจ่ายเพิ่ม 2,000 บาท สำหรับข้าวที่ได้รับการรับรอง Organic Thailand
"เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ได้วางแผนว่า จะแบ่งผลผลิตเผื่อไว้บริโภค ทำพันธุ์ และขายให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว โดยกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมหารือยินดีที่สามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้นและมีผู้รับซื้อแน่นอน ส่วนผู้ประกอบการก็รู้สึกพอใจที่รัฐมีโครงการเชื่อมโยงผลผลิตข้าวคุณภาพผ่านการรับรองของรัฐเข้าสู่โรงสี โดยไม่ต้องออกแรงไปหาเอง นอกจากนี้ ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรยังได้ซักถามคำถามเกี่ยวกับการผลิตข้าวอินทรีย์ในหลายประเด็น อาทิ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การแก้ไขปัญหาดินเค็ม เป็นต้น จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และสำนักงานเกษตรจังหวัดนครราชสีมา ประสานงานร่วมกันในการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่กลุ่มเกษตรกรต่อไป" นางสาวชุติมา กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการทำนาอินทรีย์ยังได้เชิญชวนให้เกษตรกรกลุ่มอื่นๆหันมาปลูกข้าวอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นโดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการทำนาอินทรีย์ซึ่งถ่ายทอดมาจากประสบการณ์จริงในการทำอินทรีย์ เช่น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลวัวหรือมูลไก่ที่เลี้ยงเองแบบอินทรีย์ ทำให้มั่นใจได้ว่า ปุ๋ยที่ได้เป็นปุ๋ยอินทรีย์อย่างแท้จริงและยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย ถึงแม้ปริมาณผลผลิตที่ได้อาจจะลดลงในระยะแรกหลังปรับเปลี่ยนมาทำอินทรีย์ แต่ปริมาณจะค่อยๆเพิ่มขึ้น โรคและแมลงก็ไม่มาก เนื่องจากหลังทำนาอินทรีย์ ระบบนิเวศน์จะฟื้นคืนกลับมา ธรรมชาติจะเกื้อกูลและดูแลกันเอง ต้นข้าวจะแข็งแรง นอกจากนี้ ถึงปริมาณข้าวจะลดลง แต่จะได้ข้าวอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ข้าวจะนุ่มและมีความหอมมากขึ้น ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ จึงสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป
นางสาวชุติมา ได้ให้กำลังใจเกษตรกรให้มุ่งมั่นในการทำนาอินทรีย์ต่อไป เพื่อยกระดับการผลิตข้าวของประเทศไทยสู่ข้าวคุณภาพอย่างยั่งยืน