กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--BRAINASIA COMMUNICATION
เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) เป็นหนี่งกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่งยั่งยืน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมราชการและติดตามการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) ในโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ พร้อมชมนวัตกรรมเทคโนโลยีและเปิดงานครบรอบ 50 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระหว่างวันที่ 7-8 กันยายน 2560 ณ จังหวัดสงขลา ตอกย้ำการขับเคลื่อนบทบาทความสำคัญของสงขลาที่มีต่อการพัฒนาประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สงขลา เป็นเมืองหลักศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในภาคใต้ตอนล่างทั้งมีศักยภาพ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและฐานการผลิตที่เชื่อมโยงกับอาเซียนและการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย ตลอดจนส่งเสริมการลงทุน รายได้ของคนสงขลานั้นสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั่วประเทศ จากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนำมาซึ่งการขยายตัวของเมือง ความเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ สภาพจราจรที่แออัดและการขนส่งที่ไม่สะดวก จึงมีการศึกษาเพื่อการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและเมกกะโปรเจกต์หลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ที่เชื่อมระหว่างใจกลางเมืองหาดใหญ่กับสนามบิน สายคลองหวะ ระยะทาง 12.54 กม. มี 12 สถานี , ทางด่วนมอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา, รถไฟฟ้ารางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ และถนนวงแหวนเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ พร้อมพัฒนาความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเมืองใหญ่ ควบคู่เศรษฐกิจฐานราก เชื่อมต่อภูมิภาคโลก
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พร้อมด้วยนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้เดินทางไปเยี่ยมกองทุนหมู่บ้านโฮ๊ะ หมู่ที่ 5 ตำบลทุ่งตำเสา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ห่างจากอำเภอหาดใหญ่ 10 กิโลเมตร กองทุนหมู่บ้านโฮ๊ะนี้เป็นกองทุนอิสลามที่มีการพัฒนาที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงแรกเคยเกิดปัญหาการทุจริตส่วนบุคคลขึ้น แต่ด้วยพลังความสามัคคีและความสามารถของชุมชนจึงได้ฟื้นฟูและบริหารจัดการมาเป็นกองทุนหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง พร้อมทั้งได้คิดดัชนีชี้วัดผลประกอบการขึ้นอีกด้วย เพื่อใช้ในการประเมินผลและเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุน นับเป็นตัวอย่างของกองทุนที่มีการบริหารจัดการที่ดีและมีความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาสและใช้เป็นประสบการณ์สู่การพัฒนาความก้าวหน้าด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์ และในปี 2559 รัฐบาลได้สนับสนุนเงินทุน 500,000 บาท กองทุนหมู่บ้านโฮ๊ะได้นำมาเป็นทุนเปิดร้านค้าประชารัฐ เพื่อให้สมาชิกกองทุนฯและประชาชนได้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพและราคายุติธรรม ผลกำไรเป็นเงินปันผลแก่สมาชิกและนำไปพัฒนาชุมชนหมู่บ้านตามเจตจำนงของกองทุนฯ โดยปัจจุบันร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านโฮ๊ะมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 140,000 บาท
นอกจากนี้ยังได้ไปตรวจเยี่ยมสถาบันการเงินชุมชนบ้านนาแสน ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ ซึ่งนอกจากจะให้บริการฝากออม และเงินทุนสินเชื่อแก่สมาชิกกองทุนฯแล้ว ยังได้เปิดร้านค้าปุ๋ยประชารัฐ ซึ่งทำให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ซื้อปุ๋ยดีมีคุณภาพที่เชื่อถือได้และราคาถูก ลดรายจ่ายในการทำการเกษตร ทั้งนี้การดำเนินงานของกองทุนได้ช่วยเหลือชุมชนให้สร้างงานสร้างรายได้ หัวหน้า สทบ. สาขา 10 สรุปการดำเนินงานของกองทุนฯ และในโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี มุ่งพัฒนายกระดับกองทุนหมู่บ้านเปลี่ยนหนี้นอกระบบให้เป็นหนี้ในระบบ เป็นหนี้ที่ดีมีอนาคตและก่อให้เกิดประโยชน์และความมั่นคงของชุมชนอย่างแท้จริงเป็นพลังสำคัญในการที่จะขับเคลื่อนพัฒนาอนาคตของสงขลาให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.)ได้ขับเคลื่อนเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพและแก้ปัญหาของกองทุนฯ ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ สร้างอาชีพ สร้างงาน ให้ประชาชนให้อยู่ดีมีสุข การช่วยเหลือเกษตรกร ธุรกิจ SME วิสาหกิจชุมชน ภายใต้แนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน SGDs ซึ่งมีเป้าหมาย 17 ข้อตามแนวพัฒนาของสหประชาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับศาสตร์พระราชา โดยนำมาใช้เริ่มแรกบางเป้าหมายก่อน อาทิ ด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การจัดการศึกษาหมู่บ้าน การจัดการน้ำ เป็นต้น
ในการเยือนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งได้จัดงาน 50 PSU Engineering Excellence : Thailand 4.0 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้วยวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการศึกษาท้องถิ่น รับใช้ชุมชน พัฒนาคุณภาพบัณฑิตและงานวิจัยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ "Talent & Technology: หัวใจขับเคลื่อน Thailand4.0" ตอกย้ำการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน จากพลังของบุคคลากรผสมผสานกับองค์ความรู้และเทคโนโลยี ตลอดจนความร่วมมือของมหาวิทยาลัยและภาคประชารัฐจะปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจภูมิภาคให้เป็นระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เติมเต็มทั้งองค์ความรู้ การบริหารจัดการ การเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีและสารสนเทศ การรังสรรค์นวัตกรรม ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การมีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง กลางน้ำ คือ การมีอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง และปลายน้ำ คือ การมีธุรกิจโมเดลใหม่ เช่น Smart Enterprises และ Startup โดยจะใช้กลไกจังหวัด ในการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจังหวัด เข้ากับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจกลุ่มจังหวัด และเชื่อมต่อกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายประเทศไทย 4.0 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง