กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium -Term Debt Management Strategy : MTDS) และแนวทางการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจ

ข่าวทั่วไป Friday September 29, 2017 11:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ก.ย.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง 1. เป้าหมายในการบริหารหนี้ระยะกลาง (MTDS Target) ปีงบประมาณ 2561 –2565 คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้เห็นชอบกลยุทธ์การบริหารหนี้ระยะกลางโดยกำหนดเป้าหมายสัดส่วนหนี้(Target Debt Composition) ระยะกลาง 5 ปี (ปีงบประมาณ 2561-2565) และตัวชี้วัด 1 ปี (ปีงบประมาณ 2561)เพื่อใช้ในการกำกับการกู้เงินและบริหารหนี้สาธารณะให้บรรลุวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถระดมทุนได้ครบเต็มจำนวน มีต้นทุนการกู้เงินต่ำในระยะยาวและอยู่ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศและเพื่อเป็นการควบคุมตัวชี้วัดความเสี่ยงทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ รายละเอียดปรากฏตามตารางข้างล่าง ดังนี้ ตารางเป้าหมายในการบริหารหนี้ระยะกลางสำหรับปีงบประมาณ 2561-2565และตัวชี้วัดความเสี่ยงของหนี้รัฐบาลประจำปี2561 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 5 ปี(MTDS) ตัวชี้วัด 1 ปี (ปีงบประมาณ2561-2565) (ปีงบประมาณ2561) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน • ปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อสภาวะตลาดเอื้ออำนวย (Foreign Exchange Risk) • การกู้ใหม่ควรปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทันที ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย(Interest Rate Risk) • คงสัดส่วนหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ85ของหนี้ทั้งหมด • คงสัดส่วนหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ • คงสัดส่วนหนี้ที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ย(Debt re-fixing)ใน 1 ปีให้อยู่ในกรอบร้อยละ18 -24 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ85ของหนี้ทั้งหมด ของหนี้ทั้งหมด • คงสัดส่วนหนี้ที่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ย(Debt re-fixing)ใน 1 ปีให้อยู่ในกรอบร้อยละ15– 20 ของหนี้ทั้งหมด ความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้(Refinancing Risk) • ขยายอายุเฉลี่ยของหนี้(Average time to maturity)ของหนี้รัฐบาลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 14 ปี • ขยายอายุเฉลี่ยของหนี้(Average time to maturity)ของหนี้รัฐบาลให้อยู่ในระดับไม่เกิน 12 ปี • คงสัดส่วนหนี้ที่ครบกำหนดชำระใน 1 ปี ให้อยู่ในกรอบร้อยละ10-14 ของหนี้ทั้งหมด • คงสัดส่วนหนี้ที่ครบกำหนดชำระใน 1 ปี ให้อยู่ในกรอบร้อยละ8 -12 ของหนี้ทั้งหมด • คงสัดส่วนหนี้ที่ครบกำหนดชำระใน 3 ปี ให้อยู่ในกรอบร้อยละ25-30 ของหนี้ทั้งหมด • คงสัดส่วนหนี้ที่ครบกำหนดชำระใน 3 ปี ให้อยู่ในกรอบร้อยละ30 -35 ของหนี้ทั้งหมด Inflation-Linked Bond (ILB) • คงสัดส่วนไม่เกินร้อยละ5 ของหนี้ทั้งหมด 2. แนวทางการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจ (SOEs Debt Management Strategy) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจเพื่อประโยชน์ในการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้มีแนวทางการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังจึงเห็นควรกำหนดแนวทางการบริหารหนี้รัฐวิสาหกิจ ภายใต้หลักการบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน (Asset-Liability Management: ALM) โดยบริหารกระแสเงินสดจากสินทรัพย์และหนี้สินให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้ เนื่องจากความเสี่ยงด้านหนี้ของรัฐวิสาหกิจอาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณของรัฐบาลในอนาคต ซึ่งรวมถึงภาระในการชำระหนี้แทนและการให้เงินอุดหนุนแก่รัฐวิสาหกิจ การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมจะช่วยลดความผันผวนของภาระหนี้และลดความเสี่ยงต่อภาระทางการคลังของรัฐบาลได้ รัฐวิสาหกิจแต่ละรายจึงควรมีแนวทางในการบริหารความเสี่ยง ดังนี้ ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน • กรณีรัฐวิสาหกิจมีรายได้เป็นเงินบาทและไม่มีสินทรัพย์หรือรายได้อื่นๆ ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้รัฐวิสาหกิจเร่งปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของหนี้ต่างประเทศ (โดยการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆเช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) การซื้อเงินตราต่างประเทศและฝากไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign currency deposit: FCD) หรือการแปลงหนี้สกุลเงินต่างประเทศเป็นหนี้สกุลเงินบาท (Cross currency swap)) และหากมีการก่อหนี้ใหม่ในสกุลเงินต่างประเทศ ควรดำเนินการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทันที • กรณีรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์หรือรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจควรบริหารสัดส่วนสกุลเงินของรายได้และรายจ่ายให้มีความสอดคล้องกัน (Natural Hedge) เพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย • รัฐวิสาหกิจควรบริหารสัดส่วนหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด • รัฐวิสาหกิจควรประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยต่อภาระหนี้ในแต่ละปี เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือกู้เงินให้เหมาะสม ความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ • รัฐวิสาหกิจควรพิจารณาเลือกใช้เครื่องมือกู้เงินให้สอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุนของโครงการ เช่น การลงทุนในโครงการระยะยาว ควรใช้เงินกู้ที่มีระยะเวลาสอดคล้องกัน • รัฐวิสาหกิจควรกระจายภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในแต่ละปีไม่ให้กระจุกตัวมากจนเกินไป โดยเฉพาะหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะ 1-3 ปี เพื่อลดความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้และควรคำนึงถึงความสามารถในการใช้เครื่องมือกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจตามสภาวะตลาด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ