กรุงเทพฯ--29 ก.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์
คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาสามารถทำงานสองอย่างพร้อมกันได้ แต่จากการวิจัยทางจิตวิทยา ได้พิสูจน์แล้วว่าสมองไม่ได้สร้างประสาทเชื่อมโยงเพื่อการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะขับรถ เมื่อสมองได้รับการโหลดข้อมูลให้ทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันมากเกินไป จะส่งผลให้การทำงานแต่ละอย่างช้าลงไปด้วย ตัวอย่างเช่น หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาสามารถคุยโทรศัพท์ ขณะขับรถบนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย แต่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์กลับไม่คิดเช่นนั้น
เมื่อผู้ขับขี่ไม่มีสมาธิจดจ่อ หรือมีเรื่องมากมายให้ต้องคิด กลับก่อให้เกิดผลเสียอย่างร้ายแรงได้ จากสถิติองค์การอนามัยโลก ในทุกปี มีผู้คนมากกว่า 1.25 ล้านคนต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน และยังพบว่า 94 เปอร์เซ็นต์ของอุบัติเหตุนั้นเกิดจากความผิดพลาดของผู้ขับขี่
ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุปัจจัยหลัก 4 ประการ ที่ทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ ส่งผลให้สมองถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกจากท้องถนน และมักนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง ดังนี้
1. การมองเห็น – สิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผู้ขับขี่ต้องละสายตาจากท้องถนน เช่น ดูโทรศัพท์ หรือแต่งหน้า
2. การได้ยิน – เสียงต่างๆ ที่ดังเกินไป อาทิ การคุยโทรศัพท์หรือการฟังเพลง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้ขับขี่ไม่ได้ยินเสียงการจราจรอื่นๆ เช่น สัญญาณรถฉุกเฉิน
3. การลงมือทำสิ่งอื่น – สิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผู้ขับขี่ต้องละมือใดมือหนึ่งออกจากพวงมาลัย เช่น การรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่ม
4. สติในการรับรู้ – สมาธิที่ลดลงอันเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเหนื่อยล้า การทานยารักษาโรค หรือสิ่งไขว้เขวอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน
การขับขี่คือการใช้พลังงานสมองอย่างมาก
ภารกิจที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อการสร้างความสามารถในการรับรู้ที่ต่างกัน รวมทั้งการใช้พลังงานสมองที่ต่างกันด้วย การนอนเล่นบนชายหาดนั้นใช้สมาธิในระดับที่ต่ำมาก แต่ในทางตรงกันข้าม การขับขี่เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิสูงมากเนื่องจากสภาพการณ์ต่างๆ รอบตัวเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในชั่วระยะเวลาอันสั้น
แมตต์ เกอร์แลช เป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี แมตต์ คือหนึ่งในผู้สอนขับรถขั้นสูงที่สุดของฟอร์ดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เขาใช้เวลานานกว่า 10 ปีในการฝึกอบรมวิศวกรเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขับขี่ ณ ศูนย์ทดสอบของฟอร์ดในประเทศออสเตรเลีย
"ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมได้อบรมผู้ขับขี่มากมายหลายร้อยคน และจากประสบการณ์ของผม การขับขี่บนถนนปกติต้องใช้พลังงานสมองมากถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการส่งข้อความ การถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับผู้โดยสาร ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายๆ แต่ผู้ขับขี่ต้องใช้พลังงานสมองเป็นอย่างมาก และหากสมองถูกใช้งานเกินความสามารถ ก็จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้"
การสำรวจของฟอร์ด เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า 22 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงยุคใหม่ในเอเชียแปซิฟิกมักถ่ายรูป หรือเซลฟี่ในขณะขับรถ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะการขับรถที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึง 390 เมตรภายในเวลา 14 วินาที ซึ่งเป็นเวลาโดยเฉลี่ยที่ใช้สำหรับเซลฟี่นั่นเอง การสำรวจยังระบุว่า 54 เปอร์เซ็นต์ของผู้ขับขี่พยายามจะไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถที่จะหยุดไม่ใช้โทรศัพท์ได้ และอีก 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้ขับขี่ยังใช้โทรศัพท์ขณะรถติด หรือเมื่อติดสัญญาณไฟ แม้ทราบดีว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ในฐานะผู้ขับรถทดสอบที่มีทักษะชั้นสูง ส่วนหนึ่งในงานของเกอร์แลช คือ การดึงสมรรถนะของรถออกมาใช้งานได้จนถึงขีดจำกัด ซึ่งเกินกว่าที่ผู้ขับขี่โดยทั่วไปเคยได้สัมผัส ในการทำเช่นนี้ เกอร์แลชยังต้องทดสอบผู้ขับขี่ที่เข้ารับการฝึกหัด ให้ทดสอบการขับขี่ที่เกินขีดจำกัดด้านการรับรู้ของพวกเขาด้วย
"ในขณะขับขี่ เมื่อสมองของคุณต้องใช้พลังงานการรับรู้ 85 เปอร์เซ็นต์ สมองของคุณจะไม่มีความสามารถในการทำสิ่งอื่นได้แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนักขับมืออาชีพ หรือเพิ่งหัดขับรถก็ตาม และหากคุณเริ่มเข้าใจว่าสมองของคุณต้องถูกใช้งานมากน้อยอย่างไรเพียงเพื่อการขับรถคุณก็จะสามารถจำกัดขีดการรับรู้ของตนเองและเป็นผู้ขับขี่ที่ปลอดภัย " เกอร์แลชกล่าว
ฉันในฐานะผู้ขับขี่ทำอะไรได้บ้าง
มีหลายวิธีที่ผู้ขับขี่สามารถลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุได้ดังนี้
1. มุ่งสมาธิไปที่การขับขี่ และหลีกเลี่ยงจากสิ่งรบกวนที่เป็นอันตรายขณะนั่งหลังพวงมาลัย – ผู้เชี่ยวชาญและข้อมูลต่างๆ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ภัยอันตรายที่คุกคามชีวิตทั้งของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้คนที่เดินถนนนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อผู้ขับขี่ละสมาธิออกไปจากการขับขี่บนท้องถนนแม้เพียงเล็กน้อย
2. ขยายมุมมองของคุณ – "โดยปกติ คนทั่วไปมักไม่มองไปข้างหน้าในระยะไกลเท่าไรนักขณะขับรถ" เกอร์แลช กล่าว "พวกเขามักจะมองไปแค่ที่รถคันข้างหน้าแทนที่จะมองและตรวจสอบรอบๆ เพื่อดูว่า มีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าบ้างหรือไม่ แม้คุณจะผ่านการฝึกฝนในเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องแต่คุณสามารถใช้วิสัยทัศน์ของคุณในการตรวจสอบเส้นทางในมุมกว้างทั้งที่อยู่ด้านหน้าและด้านข้างๆ พร้อมๆ กับการมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวได้"
3. หลีกเลี่ยงการขับขี่ขณะง่วงนอน – ไม่มีอะไรปิดบังความสามารถภายในที่ลดลงเมื่อมีความเหนื่อยล้าหรืออยู่ในภาวะที่ยาออกฤทธิ์ การรับรู้และการตื่นตัวอย่างเต็มที่เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยนั้นจะช่วยส่งเสริมการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมัลติมีเดีย ซึ่งจัดทำขึ้นโดย บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ขับขี่รถยนต์เกี่ยวกับอันตรายท้องถนน อันเนื่องมาจากการขับขี่ที่ขาดสมาธิ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโปรดคลิกไปที่ ฟอร์ด ประเทศไทย และสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกอบรมและคำแนะนำในการขับขี่ที่ปลอดภัย โปรดคลิกไปที่ http://www.drivingskillsforlife.com