กรุงเทพฯ--4 ต.ค.--
ความพยายามของ ขสมก.ที่จะดันราคากลางโครงการจัดซื้อรถเมล์ เอ็นจีวี.489 คันให้ขึ้นไปเกินกว่า 4,000 ล้านบาทสำเร็จสมความตั้งใจ ทั้งๆที่รู้ว่าผิดหลักเกณฑ์ที่ ปปช.กำหนด ทั้งๆที่รู้กันว่าการที่ ขสมก.เล่นปาหี่เปิดประมูลด้วยราคา 3.3 พันล้านบาทเมื่อครั้งที่แล้วก็เพื่อหาเหตุจำเป็นแย้งไปที่ ปปช.ยอมให้ขึ้นราคากลางไปที่ 4 พันกว่าล้านบาท
ผู้บริหาร ขสมก.และข้าราชการระดับสูงของ กระทรวงคมนาคมพยายามปั้นประเด็นรับส่งลูกกันเป็นทีมไล่ตามระดับชั้นหาเหตุว่า ราคา 3.3 พันล้านบาทไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีผู้เข้าร่วมประมูล โดยอ้างเหตุราคารถบวกภาษีนำเข้าไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูล
ขณะที่นายสุนทร ชูแก้ว ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเบสทริน ก็เคยเปิดประเด็นดักทางไว้แล้วว่า ขสมก.หรือใครก็ตามที่กำลังใช้ความพยายามผลักดันราคากลางรถเอ็นจีวี. 489 คันที่กำลังจะมีการประมูลจาก 3.3 พันล้านเป็น 4พันกว่าล้าน ขอเรียนว่าราคาที่เบสทรินชนะนั้น เป็นราคาที่รวมภาษีต่างๆ และค่าธรรมเนียมครบถ้วนแล้ว ขสมก.ภาคไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถเมล์แพงไปมากกว่านี้
นอกจากไม่มีใครฟังแล้ว….ขสมก.ยังเดินหน้าที่จะซื้อรถเมล์ในราคา 4 พันกว่าล้านได้สำเร็จลุล่วงจนได้เมื่อนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การ (บอร์ด) ขสมก.ออกมาฟันธงราคากลางรถเมล์เอ็นจีวีรอบใหม่ 4,020 ล้านบาท เปิดประมูลกลางเดือนตุลาคม พร้อมส่งมอบล็อตแรก 20 คันก่อนปีใหม่ตามใจนายกรัฐมนตรี
ตอกย้ำด้วยนายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ออกมาเปิดเผยว่า โครงการจัดซื้อรถ เอ็นจีวี.489 คัน ที่ได้ล้มประมูลไปนั้น ล่าสุด ขสมก.ได้นำประกาศร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โดยใช้วงเงินราคากลางใหม่ 4,020 ล้านบาท
โดยจะนำทีโออาร์. ขึ้นเว็บไซต์ เพื่อประชาพิจารณ์เป็นครั้งแรก ในวันที่18-21 ก.ย. นี้ หากมีข้อเสนอแนะจากประชาชนจะนำมาพิจารณาทบทวนปรับทีโออาร์.อีกครั้ง ก่อนนำประกาศร่างทีโออาร์.ขึ้นเว็บไซต์ เพื่อประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย.
สำหรับการส่งมอบรถแบ่งออกเป็น 2 ล็อตในทีโออาร์.โดยล็อตแรกต้องส่งมอบ 20 คัน ภายใน 40 วันหลังจากลงนามสัญญา เนื่องจากต้องการนำรถบางส่วนมาวิ่งให้บริการประชาชนก่อนและต้องการนำมาวิ่งให้เป็นของขวัญคนไทยในวันขึ้นปีใหม่ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตามแผนรถล็อตแรกต้องได้รับก่อนวันที่ 31 ธ.ค.60 หรืออย่างช้า ต้นเดือน ม.ค.61 ส่วนล็อตที่สองทยอยส่งมอบจนครบ 489 คัน ภายใน 120 วัน
ทั้งนี้ ราคากลางจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน วงเงิน 4,020,158,000 บาท แบ่งเป็นจัดซื้อรถโดยสาร 489 คัน เป็นเงินประมาณ 1,735,550,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (ราคา/หน่วย 3,549,182 บาท)ส่วนราคากลางจ้างซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสาร 489 คัน ระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินประมาณ 2,284,608,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แบ่งเป็นช่วงปีที่1 ถึงปีที่ 5 เป็นเงิน 825,493,125 บาท (อัตราเฉลี่ยไม่เกิน 925บาท/คัน/วัน) และช่วงปีที่ 6 ถึงปีที่10 เป็นเงิน1,459,114,875 บาท (อัตราเฉลี่ยไม่เกิน 1,635 บาท/คัน/วัน)
แต่ที่ผิดสังเกตุคือ ราคารถบัสเอ็นจีวี.คันละ 3.5 ล้านต่อคันก็ดูสมเหตุสมผล ราคาค่าซ่อมบำรุงรักษาช่วงปีที่1 ถึงปีที่ 5 อยู่ที่ราคา 925 บาทต่อคันต่อวันก็ดูมีเหตุมีผล แต่ราคาที่พุ่งพรวดจากราคาเดิม 3.3 พันล้านมาเป็น 4พันล้านพบว่า มีความตั้งใจเพิ่มส่วนต่าง 600 กว่าล้านบาทตรงที่มีการสอดไส้ราคาค่าซ่อมบำรุงรักษาปีที่ 6 ถึงปีที่10 อยู่ที่ราคา1,635 บาทต่อคันต่อวัน
ตรงนี้มันโอเวอร์รับไม่ได้จริงๆเพราะส่วนต่างมันตรงเป๊ะ 600 กว่าล้าน ตรงตามกระแสข่าวที่ปิดกันให้แซ่ดภายใน ขสมก.เองว่าเป็นเงินทอนให้ใครบางกลุ่มใช่หรือไม่?หรือถ้า ขสมก.ต้องการจะดันราคากลางขึ้นมาอีก 600ล้านบาทให้ได้ ทำไมไม่ขึ้นราคาที่ตัวรถตามที่ ขสมก.อ้างเหตุกับ ปปช.ว่าราคา 3.3 พันล้านต่ำไป ราคารถบวกภาษีของตัวรถคันละ 3.5 ล้านบาทต่อคันเป็นไปไม่ได้ รวมค่าซ่อมบำรุง 10 ปีแล้วราคากลางต้องเป็น 4 พันล้านบาทเท่านั้น ถึงจะมีเอกชนสนใจร่วมประมูล แต่ ขสมก.กับบอร์ดทั้งคณะ…..กลับเห็นชอบให้ทีโออาร์.ฉบับใหม่ซุกราคาค่าซ่อมบำรุงปีที่ 6 ถึงปีที่ 10….แทนที่จะขึ้นที่ราคารถเอ็นจีวี.บวกภาษี ตามที่อ้างไว้กับ ปปช.
ยังๆยังไม่พอยังมีการหมกเม็ดในทีโออาร์.ฉบับล่าสุด ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์สนองเอกชนบริษัทฯหนึ่งอย่างออกนอกหน้า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 นายสุรดิษ สีดามาตย์ บริษัท แม่โขงเทคโนโลยี จำกัด มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าชธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมบำรุงรักษา
นายสุรดิษฐ์ ตั้งข้อสังเกตุไปที่เรื่องระยะเวลาการส่งมอบรถโดยสารครั้งที่ 1 กำหนดระยะเวลาการส่งมอบรถโดยสาร จำนวน 489 คัน ภายในระยะเวลา 120 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องส่งมอบรถโดยสารปรับอากาศ(NGV) จำนวน 20 คัน ภายในระยะเวลา 40 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา และส่งมอบรถโดยสารปรับอากาศ (NGV) ส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
ซึ่งทางบริษัทฯ ได้นำเสนอข้อคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวต่อ ขสมก. และทาง ขสมก. ได้ชี้แจงว่า "หากผู้ประกอบการเข้าใจว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่ง ดังนั้นเพื่อความโปร่งใส ขสมก. จึงได้ตัดข้อความในส่วนนี้ออก"
ต่อมานายสุรดิษฐ์ ทักท้วงด้วยเอกสารส่งตรงถึง ขสมก.อีกเป็นครั้งที่ 2 ว่าแม้ทางขสมก. ได้ตัดข้อความในส่วนนี้ออกไปแล้ว แต่ ขสมก.กลับเพิ่มเงื่อนไขเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการส่งมอบรถโดยสารไว้ในข้อ 6 "หลักเกณฑ์และสิทธิในการพิจารณา" โดยตั้งเป็นเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับบริษัทฯที่สามารถนำส่งมอบรถได้เร็วกว่ารายอื่น
ในความเป็นจริงรถโดยสารประจำทางแบบชั้นเดียว ไม่มีบันไดหรือที่เรียกว่ารถชานต่ำ มิใช่เป็นรถโดยสารแบบทั่วไป ที่มีผู้ประกอบการรายอื่นใช้งาน โดยเฉพาะเกียร์ซึ่งต้องสั่งตรงจากประเทศอเมริกาหรือเยอรมันนี 2ประเทศนี้เท่านั้นรถสป็คของ ขสมก.ที่ว่านี้ไม่มีการสั่งผลิตอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผู้ผลิต/ผู้ประกอบการรายใด มี สต๊อกสินค้าไว้ หากมีผู้ประกอบการรายใดมีสต๊อกสินค้ารถโดยสารนั้นๆ ไว้อยู่แล้ว ย่อมได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการรายอื่น อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง
ขณะเดียวกันมีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาจาก กรมศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังว่า ประมาณเดือนกว่าๆที่ผ่านมา มีเอกชนรายหนึ่งนำเข้ารถบัสมีลักษณะตรงตามสเป็คและสีตามที่ ขสมก.กำหนดไว้เป๊ะ จำนวน 2 เที่ยวขน เที่ยวละ 16 คันรวม 32 คัน รถบัสเอ็นจีวี.ทั้ง 32 คัน มีการสำแดงราคาต้นทุนแบบ Non Complete หมายถึงยังไม่สมบูรณ์ คือรถจำนวนดังกล่าวไม่มีเครื่องยนต์ ซึ่งต้องจ่ายภาษีนำเข้า 40 เปอร์เซ็นต์ โดยคำนวนจากราคาต้นทุนสำแดง ซึ่งจะถูกกว่าการนำเข้ามาแบบสมบูรณ์ทั้งคันมากกว่าครึ่ง แม้จะนำเข้าเครื่องยนต์มาประกอบภายหลังก็ยังเสียภาษีถูกกว่านำเข้าทั้งคันมากกว่าครึ่ง วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้ในการนำเข้ารถยนต์ในหลายๆประเภท
คำถามคือ…….รถบัสปริศนาหน้าตาตรงตามสเป็ค ขสมก.จำนวนนี้คือรถ 20 คันแรกที่คณะผู้บริหาร ขสมก.กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงคมนาคม ตั้งใจจะสานฝันให้นายกฯมอบแก่ชาวกรุงเทพฯให้ทันปีใหม่นี้ ก็ไม่ควรเอาเปรียบผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นก็แค่สั่งซื้อตรงๆจะต้องเสียเวลาเปิดประมูลทำไม?