กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) ("TOA" หรือ "บริษัทฯ") ผู้นำสีทาอาคารในไทย พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 10 ตุลาคม นี้ ตั้งเป้ารุกขยายตลาดสีทั้งในและต่างประเทศ มุ่งสู่ผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน คาดโรงงานผลิตสีแห่งใหม่อีก 3 แห่ง ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้เพื่อเตรียมก่อสร้างในประเทศกัมพูชา จะทยอยแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2561 ดันกำลังการผลิตพุ่งเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี หนุนเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ("TOA" หรือ "บริษัทฯ") ผู้นำสีทาอาคารในไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ใช้ชื่อย่อ 'TOA' ในการซื้อขายบนกระดานหลักทรัพย์ฯ โดยมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่มั่นใจในพื้นฐานของบริษัทฯ และศักยภาพในการขยายธุรกิจสีทั้งในและต่างประเทศ เช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 507.6 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นเดิม ในราคาหุ้นละ 24 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ TOA เป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขาย โดยข้อมูลจาก Frost & Sullivan (S) Pte. Ltd. ในปี 2559 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยประมาณร้อยละ 48.7 และส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคอาเซียนประมาณร้อยละ 13.0
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ วางแผนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการลงทุนก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในต่างประเทศอีก 3 แห่ง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวม 1,184 ล้านบาท ได้แก่ โรงงานผลิตแห่งแรกในประเทศอินโดนีเซีย โรงงานผลิตในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งมีแผนจะย้ายโรงงานจากเมืองย่างกุ้งไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชา คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/61 ไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 ตามลำดับ โดยเมื่อโรงงานผลิตสีทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จและดำเนินการตามแผนการปิดโรงงานย่างกุ้ง (คาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2562) คาดว่า TOA จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88.0 ล้านแกลลอนต่อปี ไม่รวมกำลังการผลิตของ TOA Skim Coat (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย 3 แห่ง และเวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ประเทศละ 1 แห่ง
"การลงทุนขยายโรงงานผลิตสีในต่างประเทศ จะทำให้ TOA มีขีดความสามารถในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากสีเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหนักมากจึงมีต้นทุนค่าขนส่งค่อนข้างสูง ดังนั้นบริษัทฯ จึงตัดสินใจลงทุนขยายโรงงานในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสอดรับกับการวางยุทธศาสตร์ที่ต้องการเป็นผู้นำตลาดสีในภูมิภาคนี้" นายจตุภัทร์ กล่าว
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TOA เป็นบริษัทสีของคนไทยที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศได้สูงสุดท่ามกลางการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติ โดยมีจุดแข็งด้านแบรนด์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมความพร้อมด้านฐานการผลิต รวมถึงมีทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีประสบการณ์สูง โดยหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินยิ่งขึ้น รวมถึงส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TOA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสีและสารเคลือบผิวชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี โดยมีการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจจากประเทศไทยไปยังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่ความต้องการใช้สีจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากปัจจัยสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละประเทศ จึงเชื่อว่า TOA จะเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน
หมายเหตุ
เอกสารนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นใด หุ้นสามัญของบริษัทฯ ยังไม่ได้จดทะเบียนและจะไม่ได้รับการจดทะเบียนภายใต้ U.S. Securities Act of 1933 ของประเทศสหรัฐอเมริกา และจะไม่มีการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกาหากไม่มีการจดทะเบียนหรือได้รับการยกเว้นการจดทะเบียนภายใต้ U.S. Securities Act of 1933 ทั้งนี้ จะไม่มีการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปในประเทศสหรัฐอเมริกา