กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--PwC ประเทศไทย
PwC ทั่วโลกเผยปี 2560 มีรายได้แตะ 3.77 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.26 ล้านล้านบาท) หรือเติบโตเกือบ 7% โดยรายได้ใน 3 สายงานทั้งธุรกิจตรวจสอบบัญชี ธุรกิจที่ปรึกษา และธุรกิจกฎหมายและภาษี เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผยกลยุทธ์เน้นลงทุนด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มคุณภาพบริการ และในปีนี้ยังมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพภายในของเครือข่ายบริษัทในรายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำปีเป็นครั้งแรก เพื่อตอกย้ำความโปร่งใสในการทำธุรกิจ
นาย บ็อบ มอริตซ์ ประธาน บริษัท PwC โกลบอล เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของเครือข่าย PwC ทั่วโลกรอบปีงบประมาณ 2560 (งบการเงินสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2560) มีรายได้รวม 37,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากรอบปี 2559 ที่มีรายได้ 35,896 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเติบโต 6.5% (ตามอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ซึ่งถือเป็นรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของเครือข่าย PwC ทั่วโลก
"ในปีที่ผ่านมารายได้จากเครือข่าย PwC ทั่วโลกยังเติบโต แม้ว่าเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างก็ตาม แต่ด้วยความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในความต้องการของตลาดแต่ละประเทศ รวมไปถึงความทุ่มเทของบุคลากรมากกว่า 2.3 แสนล้านคนทั่วโลกของเรา จึงทำให้ปีนี้ PwC ประสบความสำเร็จเช่นทุกปี"
ทั้งนี้ หากแยกผลการดำเนินงานตามประเภทธุรกิจของเครือข่าย PwC ทั่วโลกในปี 2560 นั้น พบว่า สายงานธุรกิจตรวจสอบบัญชี (Assurance) ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทมีรายได้เติบโตถึง 6% มาอยู่ที่ 15,965 ล้านดอลลาร์ ภายใต้การแข่งกันที่รุนแรง โดยได้รับอานิสงส์จากจำนวนลูกค้ารายใหม่ๆ และความต้องการของบริการตรวจสอบบัญชีที่เพิ่มขึ้น
ด้านสายงานธุรกิจที่ปรึกษา (Advisory) ในปีนี้เติบโตเกือบ 8% มาที่ 12,253 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน และแม้ว่าปัจจัยความไม่แน่นอนของการดำเนินธุรกิจจะส่งผลกระทบต่องานธุรกิจที่ปรึกษาทั่วโลกก็ตาม โดยพบว่า ธุรกิจของ Strategy& และธุรกิจที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 17% และ 20% ตามลำดับ โดยการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของสายงานธุรกิจที่ปรึกษาในการให้คำแนะนำที่ครบทุกมิติแก่ลูกค้าตั้งแต่แนวทางการวางกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ
นอกจากนี้ รายได้จากงานบริการด้านดิจิทัลก็เติบโตอย่างโดดเด่นเช่นเดียวกัน สาเหตุมาจากการสร้างศูนย์ประสบการณ์ของ PwC (Experience Center) ที่มีมากกว่า 30 แห่งทั่วโลกและกำลังเปิดเพิ่มในกรุงโตรอนโต ญี่ปุ่น ลอนดอน สต็อกโฮล์ม และซูริค โดยศูนย์ประสบการณ์ด้านดิจิทัลของ PwC นี้ ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกันในการปฏิวัติการทำธุรกิจไปสู่อนาคต โดยผสมผสานการทำงานควบคู่ไปกับประสบการณ์ และเทคโนโลยีผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าที่ศูนย์ฯ นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ความต้องการของงานธุรกิจที่ปรึกษายังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการสุขภาพ เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม และ กองทุนไพรเวทอิควิตี้
ขณะที่สายงานกฎหมายและภาษี (Tax & Legal) รายได้ปีนี้เติบโตเกือบ 6% มาอยู่ที่ 9,462 ล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากความต้องการในการปฏิบัติทางภาษีให้ถูกต้องและงานที่ปรึกษาด้านภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน PwC ถือได้ว่าเป็นเครือข่ายที่ปรึกษาทางด้านภาษีรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีมากกว่า 41,000 คน โดยรายได้จากการดำเนินงานด้านภาษียังมาจากเครือข่ายบริการด้านกฎหมายของ PwC ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีทนายความจำนวน 3,300 คนให้บริการแก่ลูกค้าในกว่า 90 ประเทศ ซึ่งพบว่าแนวโน้มความต้องการบริการด้านการปรับโครงสร้างธุรกิจระหว่างประเทศ แรงงานและการจ้างงาน การควบรวมกิจการ และการคุ้มครองข้อมูลนั้นมีเพิ่มมากขึ้น ส่วนรายได้จากบริการด้านบุคลากรและองค์กรเติบโตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตามความต้องการของลูกค้าในการปฏิรูประบบงานด้านทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการการโยกย้ายและเปลี่ยนแปลง (Mobility and Change Management) โดยปัจจุบันมีบุคลากรในด้านนี้กว่า 10,000 คน
หากแยกผลการดำเนินงานออกเป็นรายทวีปพบว่า ปีนี้รายได้ในทุกตลาดสำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน เป็นผลมาจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม งานบริการใหม่ๆ และศักยภาพที่แข็งแกร่งของแบรนด์ โดยรายได้ของเครือข่าย PwC ในทวีปอเมริกาเติบโตเกือบ 7% ขณะที่ทวีปยุโรปตะวันตกเติบโต 4% ส่วนทวีปยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 13%
นอกจากนี้ รายได้ของทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะแปซิฟิกในปีที่ผ่านมายังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปีก่อนที่ 10% ส่วนทวีปเอเชียรายได้เติบโต 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา
ด้านนาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า PwC ประเทศไทย ในฐานะบริษัทเครือข่ายถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของทวีปเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะคุณภาพของการให้บริการและความสามารถของบุคลากรที่เข้าไปช่วยลูกค้าและสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้คือ เป้าประสงค์ในการทำธุรกิจของเครือข่าย PwC ทั่วโลก โดย PwC ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มคุณภาพในการให้บริการลูกค้าต่อไป
"เราให้ความสำคัญกับการให้บริการคุณภาพที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าและการเป็นองค์กรที่พนักงานของเราจะได้ภาคภูมิใจในความเป็น PwC มากกว่าการเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หรือมีรายได้มากที่สุด ผมมองว่าการส่งมอบงานที่ดีที่สุด การมีแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจ และกำลังความสามารถ รวมทั้งโอกาสที่คนของเราได้รับในการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้ามีคุณค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด" นาย ศิระ กล่าว
ลงทุนเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
"ในขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การทำธุรกิจของลูกค้าต้องมีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปจากในอดีต PwC เองก็มีการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น และซับซ้อนมากขึ้นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมส่วนรวม" นาย มอริตซ์ กล่าว
"ด้วยกลยุทธ์ในการลงทุนในด้านเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรมบริการใหม่ๆ และการเฟ้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพของเราจึงส่งผลให้รายได้เติบโตแข็งแกร่งในทุกสายงานที่มีอยู่และบริการใหม่ๆ ในปีที่ผ่านมา ถึงแม้แนวโน้มจะเป็นบวก ทั้งเราและลูกค้าต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ" เขา กล่าว
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงองค์กรเข้าสู่ดิจิทัลของลูกค้ายังส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ความต้องการของบริการที่เกี่ยวข้องกับสร้างความไว้วางใจจากการประยุกต์ใช้ดิจิทัลมีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์และข้อมูลส่วนบุคคล การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง รวมทั้งระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ โดย PwC มีระบบการตรวจสอบภายในที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อนำเสนอโซลูชันส์ทางด้านดิจิทัลให้กับลูกค้าทั้งในด้านของการกำกับดูแลกิจการ ความเสี่ยง และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ นอกจากนี้ ยังช่วยให้คำแนะนำภาคธุรกิจถึงผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและกฎระเบียบที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเตรียมความพร้อมให้แก่องค์กรก่อนที่กฎหมายความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับใหม่ หรือ General Data Protection Regulation (GDPR) จะถูกบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม 2561 ซึ่งจะสร้างความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ในสหภาพยุโรป ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังที่กฎหมายมีผลบังคับใช้
นอกจากนั้น ในปีนี้ PwC ยังได้มีการลงทุนในธุรกิจการจัดจ้างบุคลากรด้านภาษีจากภายนอก (Tax outsourcing business) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้ทำข้อตกลงร่วมกับ GE ในการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษีกว่า 600 คนเข้ามาร่วมงานและยังนำเอาเทคโนโลยีด้านภาษีของ GE มาต่อยอดบริการด้านภาษีของ PwC ในอนาคตและจัดหาบริการเพื่อรองรับองค์กรระดับโลก
นาย มอริตซ์ กล่าวต่อว่า "แบรนด์ของเราถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งในตลาด เมื่อผนวกกับความแข็งแกร่งของบุคลากรและชื่อเสียงที่ดีในการให้บริการลูกค้า จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเครือข่าย PwC ทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังคงมองหาโอกาสในการควบรวมธุรกิจที่ตอบโจทย์ และช่วยเสริมทัพงานบริการที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และเร่งพัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงเราที่ทำร่วมกับ GE ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริการทางด้านภาษีและช่วยปฏิวัติรูปแบบการให้คำปรึกษาด้านภาษีและการปฏิบัติตามกฎระเบียบในอนาคต
"นวัตกรรม ถือเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จ โดยเรามีการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) หุ่นยนต์ (Robotics) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine learning) มาใช้เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ ยังลงทุนเพื่อพัฒนาการให้บริการในด้านอื่นๆ เช่น สายงานข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทต่างๆ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการรักษาข้อมูล เราจึงต้องช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับภัยไซเบอร์และมีโปรแกรมการรักษาความเป็นส่วนตัวที่มีประสิทธิภาพให้ได้"
บุคลากรหัวใจสำคัญ – มุ่งปั้นผู้นำหญิง
ในปีนี้เครือข่าย PwC ทั่วโลกได้จ้างบุคลากรจำนวนทั้งสิ้น 59,252 คน ในจำนวนนี้ เป็นบัณฑิตจบใหม่ 28,238 คน และผู้มีประสบการณ์มืออาชีพ 25,982 คน ส่งผลให้ปัจจุบัน PwC มีพนักงานทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 236,235 คน เติบโต 6% จากปีก่อน โดยทวีปเอเชียมีจำนวนบุคลากรเพิ่มขึ้นสูงที่สุด (14%) ตามมาด้วยทวีปยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก (13%)
อย่างไรก็ดี PwC ถือเป็นองค์กรหนึ่งที่ส่งเสริมการทำงานของผู้หญิง โดยมากกว่าครึ่งของบัณฑิตจบใหม่และ 45% ของผู้มีประสบการณ์มืออาชีพล้วนเป็นผู้หญิง ขณะเดียวกันที่ 25% ของจำนวนผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหุ้นส่วนใหม่ในเครือข่าย PwC ทั่วโลกจากจำนวนทั้งสิ้น 862 คนในปีนี้ก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน และในการเลื่อนตำแหน่งภายในของพนักงานเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560ที่ผ่านมา พบว่า 27% ยังเป็นผู้หญิงที่ได้รับการสนับสนุนให้มีโอกาสในการขึ้นมาเป็นผู้นำในอนาคต
อย่างไรก็ดี ในการว่าจ้างบุคลากรของ PwC นั้นจะมุ่งเน้นไปที่ผู้มีทักษะความสามารถหลากหลาย มีประวัติและประสบการณ์ รวมไปถึงความมุ่งมั่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาต่อยอดความสามารถของพวกเขาในระดับต่อไป ซึ่งนี่ถือเป็นวัฒนธรรมและค่านิยมของ PwC ในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ PwC ยังมีการลงทุนด้นเทคโนโลยีในการสรรหาบุคลากร เพื่อให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและดียิ่งขึ้น
"ตัวเลขการจ้างงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันของการที่ทาเลนท์เห็น PwC เป็นองค์กรที่พวกเขาจะสามารถเริ่มต้น เติบโต และก้าวหน้าในสายอาชีพได้ โดยสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการเป็นแหล่งพัฒนาบุคลากรชั้นนำที่หลากหลายในระดับโลก โดยความมุ่งมั่นในระยะยาวของเรา คือการบริหารความแตกต่างและหลากหลาย ซึ่งสะท้อนมาจากตัวบุคลากรแต่ละคนที่เข้ามาร่วมงานกับเรา รวมไปถึงการสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างผู้นำหญิงในอนาคตอีกด้วย" นาย แอคเนส ฮูสเชอร์ หัวหน้าสายงานทรัพยากรมนุษย์ ของ PwC โกลบอล กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน PwC มีเครือข่ายใน 158 ประเทศทั่วโลก และมีสถานที่ตั้งสำนักงาน 736 แห่ง
นอกจากนี้ PwC เชื่อว่า สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของเราคือ ทักษะ ความรู้ และความสามารถของบุคลากร ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในระยะยาว โดยเราให้ความสำคัญกับการส่งมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม โดยในปีนี้บุคลากรของเครือข่าย PwC ทั่วโลกจำนวน 59,704 คน ได้อุทิศเวลาทั้งสิ้น 755,811 ชั่วโมงของพวกเขา หรือคิดเป็นมูลค่า 66 ล้านดอลลาร์ เพื่อกิจกรรมจิตอาสาโดยนำความรู้ของพวกเขาไปสอนและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์การนอกภาครัฐ รวมไปถึงองค์กรเพื่อสังคม และธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลก นอกจากนี้ เครือข่าย PwC ทั่วโลกยังร่วมกันบริจาคเงินมูลค่าเกือบ 64 ล้านดอลลาร์ เพื่อองค์กรการกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ
สุดท้าย คุณภาพ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของ PwC ทั่วโลก และยังเป็นจุดโฟกัสที่สำคัญของการลงทุนของผู้นำและพนักงานของเราทั้งในแง่ของเวลาและทรัพยากร โดยในปีนี้เครือข่าย PwC มีการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มคุณภาพบริการ และในปีนี้ PwC ยังได้มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพภายในของบริษัทในรายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำปี (Global Annual Review) เป็นครั้งแรกและเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับองค์กรอื่นๆ ต่อไป
"เรามีความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยปีนี้เป็นปีแรกที่เรามีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพภายในในรายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำปี ซึ่งนี่ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความโปร่งใสให้ PwC ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมของเราต่อไป" นาย มอริตซ์ กล่าวทิ้งท้าย