กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์น้ำไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี และกำแพงเพชร รวม 4 อำเภอ 16 ตำบล 63 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,848 ครัวเรือน 8,440 คน โดย ปภ. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือแล้ว
พร้อมทั้งประสานกรมชลประทานติดตามข้อมูลการระบายน้ำเนื่องจากปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากฝนตกหนักและอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง และประสานจังหวัดเสี่ยงภัย 8 จังหวัด ที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ สุโขทัย ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี ลพบุรี และสระบุรี ให้มีความพร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้สามารถเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี และกำแพงเพชร รวม 4 อำเภอ 16 ตำบล 63 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,848 ครัวเรือน 8,440 คน ปัจจุบันระดับน้ำลดลงและอยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือ และ ปภ. ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับการประสานจากกรมชลประทานเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำโดยกรมชลประทานจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำและเขื่อนสำคัญบริเวณลุ่มน้ำ 4 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำปราจีนบุรี และลุ่มน้ำป่าสัก เนื่องจากมีปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและมีปริมาณน้ำท่าไหลเข้าสู่เขื่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากฝนตกหนักและอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางเคลื่อนที่เข้ามาตามแนวร่องมรสุม โดยอาจทำให้เกิดผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี ลพบุรี และสระบุรี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงได้ประสานจังหวัดเสี่ยงภัยทั้ง 8 จังหวัด ดำเนินการติดตามข้อมูลการระบายน้ำและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดจากสำนักงานชลประทาน โครงการชลประทานจังหวัด โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา และหน่วยงานสังกัดกรมชลประทาน รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเสริมความมั่นคงของพนังกั้นน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อให้มีความพร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบแนวทางปฏิบัติของทางราชการ แนวทางปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย และติดตามข้อมูลข่าวสารของทางราชการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากสถานการณ์ภัย สามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานการช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป