กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--ธนาคารกรุงเทพ
เมื่อเวลา 11.30 น. วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ณ ห้อง ดิเอสเธอร์ โรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ได้มีพิธีลงนามในสัญญาเงินกู้ ( Credit Facilities Agreement ) รวมมูลค่า 63,360 ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระหว่าง บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด และ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด โดย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการ นายพีระวัฒน์ พุ่มทอง กรรมการ กับ นายปณิต ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายวีระพงศ์ ศุภเศรษฐศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
สัญญาเงินกู้ ( Credit Facilities Agreement ) นี้แบ่งเป็น 2 ฉบับ สำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงิน 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 34.5 กิโลเมตร รวม30 สถานีและโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 31,680 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 30.4 กิโลเมตร รวม 23 สถานีซึ่งการลงนามในสัญญาเงินกู้ครั้งนี้ จะทำให้โครงการรถไฟฟ้าทั้งสองเส้นทางมีความพร้อมจากการที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน จากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำรายใหญ่ 3 ราย โดยบริษัทฯ จะนำไปใช้ในการก่อสร้างสถานี ทางวิ่งยกระดับงานระบบเครื่องกล งานระบบอาณัติสัญญาณ ขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งจะทำให้โครงการสามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทนอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด และบริษัทอีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด กล่าวว่า " สำหรับโครงการรถไฟฟ้าทั้งสองสายนี้เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว โมโนเรล แบบยกระดับ สองสายแรกของประเทศ เป็นโครงการร่วมทุนในลักษณะ PPP Net Cost กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยผู้ร่วมลงทุนประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้ถือหุ้นทั้ง 3 บริษัท จะนำความรู้ความชำนาญในสายงานที่ตนมีร่วมกันดำเนินงานโครงการทั้ง 2 เส้นทางให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ และตามกำหนดการที่ได้ตั้งไว้ และ ในวันนี้ การที่บริษัทฯได้มีผู้สนับสนุนทางการเงินแล้วทำให้โครงการมีความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้ง ผู้รับเหมาก่อสร้างงานโยธา ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างจัดหาระบบรถไฟฟ้า รวมถึงขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ได้แก่ กลุ่มบริษัท บอมบาดิเอร์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้วยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจว่าจะทำให้โครงการสามารถลงมือก่อสร้างได้ทันทีหลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทฯ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จพร้อมจะเปิดให้บริการในปี2563 ผมขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ร่วมให้การสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้า สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว –สำโรงเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง"
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเป็นผู้นำในการจัดหาเงินกู้สนับสนุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายดังกล่าวโดยมีวงเงินสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) ในรูปแบบการปล่อยกู้ร่วม (Syndicate Loan) รวมทั้งสิ้น 63,360 ล้านบาท ในส่วนนี้ธนาคารกรุงเทพมีส่วนการปล่อยสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ของวงเงินกู้รวมในโครงการนี้ หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 21,120 ล้านบาท โดยจะทยอยเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560
"โครงการนี้นับเป็นโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในประเทศตลอดจนเป็นปัจจัยตั้งต้นที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนในแต่ละระดับเกิดการจ้างงานและการบริโภคตามมาอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เศรษฐกิจทั้งระบบหมุนเวียนและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง"
นายวีระพงศ์ ศุภเศรษฐศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ร่วมลงทุนของโครงการนี้มาแต่ยาวนาน ทั้ง บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) สำหรับการสนับสนุนทางการเงินของธนาคารกรุงไทยเพื่อลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรงในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนด้านธุรกิจของกลุ่มผู้ลงทุนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาด้วยผลงานการก่อสร้างระดับชั้นแนวหน้าของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ประสบความสำเร็จ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ – บางซื่อ, โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงท่าพระ – หลักสอง, โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต เป็นต้น ทำให้ธนาคารมั่นใจได้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองจะสำเร็จตามแผนที่วางไว้ และด้วยความสามารถในการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าของกลุ่มบีทีเอส มากว่า 24 ปี ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กลุ่มผู้ร่วมลงทุน และนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการพัฒนาสาธารณูปโภคครั้งสำคัญในระดับประเทศ
นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านระบบขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ธนาคารไทยพาณิชย์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนทางการเงินให้กับกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) เพื่อดำเนินการก่อสร้างและประกอบกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องตามมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ได้มาตรฐาน สะดวกรวดเร็ว และสามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าสายหลักอื่นประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว(ส่วนต่อขยาย) (หมอชิต-คูคต), โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-บางไผ่), โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง), โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต), โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และรถไฟฟ้า Airport Rail Link อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขับเคลื่อนแนวนโยบายการพัฒนาเมืองกระจายสู่พื้นที่รอบนอก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป