กรุงเทพฯ--11 ต.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) ("TOA" หรือ "บริษัทฯ") ผู้นำสีทาอาคารในไทย เข้าเทรดวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชูแผนขยายโรงงานผลิตสีอีก 3 แห่ง ในประเทศอินโดนีเซียและเมียนมาร์ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และในประเทศกัมพูชาที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเพื่อเตรียมก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2561 ดันกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88.0 ล้านแกลลอนต่อปี หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคนี้พร้อมขึ้นแท่นผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ("TOA" หรือ "บริษัทฯ")ผู้นำสีทาอาคารในไทย เปิดเผยว่า ได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก(10 ตุลาคม 2560) ใช้ชื่อย่อ 'TOA' ในการซื้อขายบนกระดานหลักทรัพย์ฯ โดยเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่มั่นใจในพื้นฐานของบริษัทฯ และศักยภาพในการขยายธุรกิจสีทั้งในและต่างประเทศ เช่นเดียวกับการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 507.6 ล้านหุ้น โดย TOA และผู้ถือหุ้นเดิม ในราคาหุ้นละ 24 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ TOA เป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขาย โดยข้อมูลจาก Frost & Sullivan (S) Pte. Ltd. ในปี 2559 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยประมาณร้อยละ 48.7 และส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคอาเซียนประมาณร้อยละ 13.0
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ วางแผนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาดสีในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการลงทุนก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในต่างประเทศอีก 3 แห่ง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1,184 ล้านบาท ได้แก่ โรงงานผลิตแห่งแรกในประเทศอินโดนีเซีย โรงงานผลิตในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งมีแผนจะย้ายโรงงานจากเมืองย่างกุ้งไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา และโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชาซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/61 ไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 ตามลำดับ โดยเมื่อโรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จและการดำเนินการตามแผนการปิดโรงงานย่างกุ้ง (คาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2562) คาดว่า TOA จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88.0 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งมาจากโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย 3 แห่ง และเวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ประเทศละ 1 แห่ง
"หลังจากโรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ จะส่งผลดีต่อเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสีในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่ TOA เริ่มเข้าไปรุกตลาดได้ประมาณ 5-6 ปี ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโตเนื่องจากมีจำนวนประชากรกว่า 250 ล้านคนและมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายสีเกรดพรีเมี่ยมที่มีคุณภาพสูง ส่วนประเทศเมียนมาร์และกัมพูชาก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพเช่นกัน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดีและมีการลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก" นายจตุภัทร์ กล่าว
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TOA เป็นบริษัทสีของคนไทยที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศได้สูงสุดท่ามกลางการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติ โดยมีจุดแข็งด้านแบรนด์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม ความพร้อมด้านฐานการผลิต รวมถึงมีทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีประสบการณ์สูง โดยหลังจากเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินยิ่งขึ้น รวมถึงส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TOA เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสีและสารเคลือบผิวชั้นนำของไทยที่มีศักยภาพที่ดี โดยมีการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจจากประเทศไทยไปยังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่ความต้องการใช้สีจะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากปัจจัยสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละประเทศ จึงเชื่อว่า TOA จะเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก