กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--มทร.ธัญบุรี
"ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้าย แต่ทุกวันนี้คิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด ไม่คิดว่าในหลวงที่มีภารกิจมากมาย จะสนใจจดหมายเพียงฉบับเดียวของตนเองกับแม่ และทรงช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่าน" นางสาวอรธีรา รสหอม หรือน้องส้ม นักศึกษาชั้นปีที่ 2 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี นักศึกษาพิการทางการเคลื่อนไหว 1 คนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และนักศึกษาทุนการศึกษามูลนิธิสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9
"ส้ม" นางสาวอรธีรา รสหอม เล่าว่า "พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตากับตนเองและครอบครัวล้นพ้น" เมื่อตอนอายุ 13 ปี ตนเองประสบอุบัติเหตุทำให้ตนเองสลบไปถึง 9 วัน นอนในห้อง ICU กว่า 19 วัน และต้องใช้เวลาในการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 4 เดือน จากอุบัติเหตุทำให้เธอกลายเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว (ต้องใส่ขาเทียมขาขวา และต้องใส่วิก ตลอดชีวิต) ในการเข้าห้องผ่าตัดแต่ละครั้งต้องใช้ค่าใช้จ่ายเงินค่อน ข้างสูง โดยตอนนั้นทางบ้านไม่ได้มีฐานะ คุณแม่และคุณพ่อหย่าร้างกัน ตนเองมีเพียงแม่ แม่จึงได้เขียนหนังสือถวายฎีกาถึงในหลวง ซึ่งเนื้อหาในจดหมายเป็นคำสามัญชาวบ้านธรรมดา ด้วยจดหมายฉบับนั่น ตนเองจึงได้รับเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์"เหมือนพระองค์ท่านต่อลมหายใจให้กับหนู เหมือนพระองค์ให้ชีวิตใหม่กับหนู" นอกจากนี้พระองค์ท่านยังได้รับตนเองเป็นนักศึกษาทุนการศึกษามูลนิธิสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี
ระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาเห็นสภาพตนเอง "คิดฆ่าตัวตาย" กลัวว่าตนเองจะไม่ได้เรียน เรียนจบจะไม่มีงานทำ และกลัวคนอื่นรังเกียจตนเอง แต่เมื่อนึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช เห็นพระองค์ท่านเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ พระองค์ทรงงานหนักและลำบาก บวกกับได้รับเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ และได้เป็นนักศึกษาทุนการศึกษา เหมือนได้เกิดขึ้นมีชีวิตมาทุกวันนี้ พระองค์ท่านทรงเป็นขวัญและกำลังใจของตนเอง "วันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่สวรรคาลัย" โทรไปหาแม่ แม่บอกกับตนเองว่า "ต้องอดทน และเข้มแข็ง ให้ตั้งใจทำความดี ไม่ให้ท้อ เป็นคนดีของประเทศ พระองค์ท่านทรงพระเมตตาให้ทุนการศึกษากับเรา" ซึ่งทุนการศึกษาที่ได้รับมา ตนเองจะใช้จ่ายอยากประหยัดและจำกัดมากที่สุด ด้วยความพอเพียง ตามคำสอนของพระองค์ท่าน ตนเองคิดเสมอว่า พระองค์ท่านต้องมองมาจากบนฟ้า มองลงมาดูนักเรียนและนักศึกษาของท่านดำเนินชีวิต ทำประโยชน์ให้กับสังคมและเป็นคนดี ช่วยกันพัฒนาประเทศ
ทางด้านนางจำรูญ แพ่งสุภา แม่ของน้องส้ม เล่าว่า "ตอนที่ตัดสินใจเขียนหนังสือถวายฎีกาถึงในหลวง" ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือน้องส้มได้ นึกถึงในหลวง "เทวดาที่อยู่บนดิน" เพียงพระองค์เดียวที่สามารถช่วยลูกได้ โดยผ่านไปประมาณ 1 เดือน ได้รับการติดต่อกลับมา และได้ส่งเจ้าหน้าที่ของทางจังหวัดเข้ามาสำรวจ ผ่านไปประมาณอีก 1 เดือน พระองค์ท่านได้รับน้องส้มเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ได้เป็นนักศึกษาทุนการศึกษามูลนิธิสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี นอกจากนั้นทางมูลนิธิยังได้พระราชทานเงินทุนดำรงชีพครอบครัว 50,000 บาทให้กับครอบครัวของตนเอง (นำมาเปิดร้านขายของชำในหมู่บ้าน) "ท่านทรงเป็นเทวดาที่อยู่บนดิน ไม่มีอะไรมาเทียบได้ ทรงพระเมตตาต่อครอบครัวของเรา ท่านทรงเป็นเทวดา โดยจะสอนน้องส้มเสมอ เงินที่ได้รับมาให้ยกขึ้นเหนือหัว ใช้จ่ายอยากประหยัดที่สุด ให้นำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้ในการใช้ชีวิต"
"ตนเองสัญญาว่าหลังจากที่เรียนจบ จะขอทำงานให้กับแผ่นดิน ทำอะไรก็ได้ที่ดีที่สุด ในการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9" น้องส้มกล่าวทิ้งท้าย