กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--เวิรฟ
"เอสซีจี" คว้า "ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง" จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ที่มอบให้แก่ผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย ช่วยชาติประหยัดพลังงาน โดย "เอสซีจี" เป็นผู้ผลิตหลังคาที่ได้ฉลากรับรองมากที่สุดถึง 16 รุ่น ครอบคลุม 3 วัสดุหลักที่นิยมใช้ผลิตหลังคา และเป็นผู้ผลิตฉนวนใยแก้วกันความร้อนรายแรกที่ได้รับฉลากนี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม เตรียมเดินหน้าสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคถึงความสำคัญของการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยภาพรวมหลังคาในประเทศไทยปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมทรงตัวอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดฉนวนกันความร้อนคาดว่าจะมีมูลค่าทรงตัวอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติช่วยประหยัดพลังงานจะมีศักยภาพในการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
นายบุญส่ง ปิติสุขฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดหลังคาและอุปกรณ์หลังคา บริษัทเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของเอสซีจี มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและเทรนด์ตลาด ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม อีกทั้งจากวิกฤติด้านพลังงานที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก รวมถึงแนวโน้มการใช้พลังงานในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เอสซีจีในฐานะผู้นำตลาดหลังคาเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาหลังคาที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือ "ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง" โดยจะติดฉลากของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ลงบนผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของภาคธุรกิจที่ร่วมผลักดันการลดการใช้พลังงานในประเทศ กระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้หลังคาประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ผลิตในตลาดหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่มีศักยภาพสูงในการประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น
โดยล่าสุด "หลังคาเอสซีจีได้รับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นจำนวนมากที่สุด รวมทั้งสิ้น 16 รุ่น ครอบคลุม 3 วัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตหลังคาในประเทศไทย ได้แก่ หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ ได้แก่ รุ่นลอนคู่ สีขาวมะลิ, รุ่นลอนคู่ สีส้มประกายมุก, รุ่นพรีม่า สีส้มทอประกาย, รุ่นไอยร่า คลาสสิค 13 นิ้ว สี Coral Grey, รุ่นไอยร่า คลาสสิค 13 นิ้ว สี Coral Grey (เงา),หลังคาคอนกรีต รุ่น Prestige สี Classic Grey, รุ่น Prestige X-Shield สี Ivory Grey, รุ่น CPAC สีประกายทอง, รุ่น CPAC สีเงินวิเศษสุข, รุ่น NeuStile Oriental สี White และหลังคาเซรามิค รุ่น Excella Classic สี White Pearl, รุ่น Excella Classicสี Yellow Sapphire, รุ่น Excella Modern สี White Matt, รุ่น Excella Classic ไทยเกล็ดปลา สีเหลืองกัลยา, รุ่น Excella Classic ไทยเกล็ดปลา สีขาวพราวนภา และรุ่น Celica สี Pearly Grey ทั้งนี้หลังคาที่ผ่านเกณฑ์พิจารณาจะต้องมีค่าการสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์ (Solar Radiation Reflectance) มากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 45 (อ้างอิงมาตรฐานวิธีการทดสอบ ASTM E903) ซึ่งหลังคาเอสซีจีที่ได้รับฉลากจะสามารถสะท้อนความร้อนได้ดีกว่าหลังคาทั่วไป ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟจากเครื่องปรับอากาศได้มากขึ้น
"เอสซีจีให้ความสำคัญกับ Voice of Consumer (VOC) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าและเทรนด์ของตลาด หลังคาเอสซีจีครองความเป็นผู้นำตลาดมายาวนานกว่า 70 ปี
ทั้งด้านนวัตกรรม ความหลากหลายของวัสดุและดีไซน์ คุณภาพ และการให้บริการที่เป็นระบบครบวงจร การได้รับฉลากในครั้งนี้จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด ยกระดับมาตรฐานการผลิตหลังคา และตอบวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยภาพรวมตลาดหลังคาในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท"
ด้าน นายสลิล กันตนฤมิตรกุล ผู้จัดการส่วนการตลาด บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี ครองความเป็นผู้นำตลาดฉนวนใยแก้วกันความร้อนและครองใจผู้บริโภคมาโดยตลอด ด้วยจุดแข็งในการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแนวทาง "Green Product from Green Process" ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนากระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ ควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดทั้งด้านคุณภาพและการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และการออกแบบฉนวนที่คำนึงถึงให้มีขนาดและความหนาที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ตลอดจนการให้บริการติดตั้งและให้คำปรึกษา มอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าแบบ One Stop Service ที่สำคัญยังผลักดันคุณภาพผลิตภัณฑ์จนได้รับฉลากรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ได้แก่ ฉลากเขียว ฉลากคาร์บอนฟุตปริ้นท์ และเป็นผู้ผลิตฉนวนกันความร้อนใยแก้วที่ได้รับ "ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง" ตั้งแต่ปี 2551 ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
การพิจารณาเพื่อผ่านเกณฑ์การรับรองฉลากประสิทธิภาพสูง ฉนวนกันความร้อนใยแก้วจะต้องมีค่าการป้องกันความร้อน (R-Value) เท่ากับหรือมากกว่า 1.25 M2 .K/W ซึ่งฉนวนกันความร้อนใยแก้ว เอสซีจี ที่ได้รับรองฉลากมีทั้งหมด 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มสำหรับงานหลังคา ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น FSO, CRB,Super Cool, UB, UBB และ Ultra Kool, กลุ่มสำหรับงานผนัง ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น Cool Wall,กลุ่มสำหรับงานฝ้าเพดาน ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น Stay Cool และกลุ่มสำหรับงานระบบปรับอากาศ ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น FRK, FRKF ทั้งนี้หากติดตั้งฉนวนกันความร้อนเอสซีจี รุ่น Stay Cool ที่ได้รับรองฉลากจะสามารถลดความร้อนในบ้านพักอาศัยได้ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส และช่วยประหยัดไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศได้ 47-50%
"การได้รับฉลากในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำ Positioning ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ ซึ่งฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคว่า จะช่วยผู้ซื้อสินค้าลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและประหยัดเงินลงได้ อีกทั้งช่วยลดการใช้พลังงานของประเทศ ในส่วนภาพรวมตลาดฉนวนกันความร้อนในปีนี้คาดว่าจะทรงตัวด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 1,000 ล้านบาท สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ" นายสลิล กล่าวทิ้งท้าย