กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--มอนซาโต้ ไทยแลนด์
กรุงบรัสเซลส์ เบลเยี่ยม (เอพี) รายงานจากสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรปประกาศว่าอาหารชีวภาพอาจมีความปลอดภัยมากกว่าอาหารทั่วไป ซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกต่อต้านพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพในยุโรป
รายงานความปลอดภัยทางชีวภาพที่สรุปจากโครงการวิจัยเกี่ยวกับพืชปรับปรุงพันธุ์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจำนวน 81 โครงการมูลค่า 2,888 ล้านบาท (64 ล้านเหรียญสหรัฐ) สนับสนุนโดยกลุ่มสหภาพยุโรปมาตลอด 15 ปี
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปรายงานว่า การวิจัยไม่พบ "สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนหรือสภาพแวดล้อมที่มีมากกว่าอาหารทั่วๆ ไป
"จากการใช้เทคโนโลยีที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำและระเบียบการตรวจสอบที่ดีกว่าซึ่งอาจทำให้อาหารชีวภาพปลอดภัยมากกว่าอาหารและพืชแบบเดิม"
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระยะยาวแสดงให้เห็นเลย คณะกรรมาธิการกล่าวเพิ่มว่า "หรือถ้ามีผลกระทบที่คาดไม่ถึงจริงๆ เราก็สามารถตรวจพบได้อย่างรวดเร็วจากระบบการตรวจสอบที่มีอยู่"
คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปได้พยายามให้ประชาชนยอมรับพันธุวิศวกรรมหรือ ที่รู้จักกันว่า GMOs เพิ่มขึ้นเพื่อที่ยกเลิกการห้ามขายสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพในยุโรปเองด้วย 2 ปี
การห้ามพืชปรับปรุงพันธุ์ดังกล่าวนอกจากจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ส่งออกสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนาความก้าวหน้าของบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในยุโรปเองด้วย
นายฟิลิป บัสกูแอง คณะกรรมาธิการด้านวิจัยของสหภาพยุโรปกล่าวว่า "เราต้องการจะสร้างที่ว่างระหว่างการสร้างเหตุผลเกินจริงของผู้ต่อต้านจีเอ็มโอ และกลุ่มหัวรุนแรงในกลุ่มผู้คัดค้านเพื่อให้เกิดการประนีประนอมอย่างมีเหตุผลเร่งด่วน"
เนื้อหาของรายงานสอดคล้องกับการเริ่มต้นของการปภิปรายในสาธารณะเกี่ยวกับความปลอดภัยของพันธุวิศวกรรม นายบัสกูแองกล่าวว่ารายงานจะเน้นไปที่ข้าวโพดบีทีเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นพืชปรับปรุงพันธุ์ชนิดหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกในยุโรปเมื่อปี พ.ศ.2540 ก่อนที่จะมีการประกาศห้าม
นายเดวิด ไบรีน กรรมาธิการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสุขภาพกำลังประชุมที่วอชิงตันกับเจ้าหน้าที่ราชการ ผู้นำรัฐบาลและตัวแทนภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เหตุผลเรื่องสหภาพยุโรปจะมีกฎหมายติดฉลากอาหารชีวภาพ
นายเดวิด ให้เหตุผลต่อที่ประชุมว่า การติดฉลากนั้นหมายถึง "การเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค" ที่มีต่อพืชปรับปรุงพันธุ์ ไม่ใช่ทำให้การขายลดลง และไม่ใช่เป็นกฎหมายที่ตั้งขึ้นเพื่อกีดกันการค้า"
ภาคอุตสาหกรรมเกรงว่าฉลากจีเอ็มโอ จะเป็นการตีตราที่ไม่เหมาะสมให้กับสินค้า และไม่ยุติธรรมที่จะติดฉลากกับส่วนผสมอาหารบางประเภท เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งไม่มีดีเอ็นเอเหลือให้สามารถตรวจสอบได้ แต่ไม่ติดฉลากอาหารบางประเภทเช่น ไวน์ และเนยซึ่งใช้เอนไซม์ชีวภาพเป็นส่วนผสม
นายวาล กิดดิ้ง โฆษกสมาพันธ์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพในวอชิงตัน กล่าวว่า "ผลกระทบของกฎหมายติดฉลากนี้ก็คือการเลือกปฏิบัติกับอาหารที่มาจากทวีปอเมริกาเหนือ"--จบ--
-นห-