กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้ร่วมกันจัดเสวนาพิเศษ Teck Talk #8 ในรายวิชา BUS200, CSC200 และ CSE200 บัณฑิตในอุดมคติ ให้ความรู้กับนักศึกษา หัวข้อ "e-Commerce 4.0 เจาะการค้าโลกใหม่ขายไวไปทั่วโลก" โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรพิเศษ คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (ป้อม) ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการตลาดดอทคอม TARAD.com และผู้บุกเบิกตลาด e-Commerce และ e-Marketing ในประเทศไทย ณ ห้อง Auditorium 1 ชั้น 14 อาคาร 40ปี มหาวิทยาลัยศรีปทุม พอสรุปประมวลความได้ดังนี้
คุณภาวุธเล่าว่า เขาเปิดบริษัทมาตั้งแต่อายุ 23 ปี ในช่วงที่เขาเรียนจบมาใหม่ๆ และร่วมกับเพื่อนอีก 3 คนเปิดเว็บตลาดดอทคอม (TARAD.com) เมื่อก่อนนั้นเรียกกันว่า .com ตอนหลังนี้เรียกกันว่า Startup ก่อนหน้าเขาเปิดเว็บไซต์ขายของมือสองชื่อ ThaiSecondhand.com และต่อมาบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ "MONO" ให้เงินมา 30 ล้านบาท ในปี ค.ศ.2009 มีตลาดใหม่เข้ามาในปีนี้มีพนักงานทั้งหมด 300 คน และญี่ปุ่นได้เข้ามาซื้อหุ้น 100 กว่าล้านบาท และในเดือนมีนาคม ค.ศ.2016 ที่ผ่านมา ทางกลุ่ม RAKUTEN ได้ประกาศปิดบริการ E-Commerce ในอาเซียน คุณภาวุธได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดคืนมา แล้วบริหารเอง ถอดชื่อ Rakuten ออก แล้วหันมาใช้แบรนด์ TARAD.com เต็มตัวอีกครั้ง และปรับโมเดล TARAD.com เข้าสู่โมเดลธุรกิจใหม่ ปลุกเว็บ ThaiSecondhand.com ที่นิ่งๆ ไปกลับขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาในเดือนเมษายน คุณภาวุธ ประกาศเข้าลงทุนในธุรกิจ Startup ในชื่อ Builk.com ธุรกิจให้บริการบริหารการก่อสร้างและค้าวัสดุก่อสร้างทางออนไลน์ และ Longong Studio ร่วมกับทาง MillCon และเข้าลงทุนใน Shippop.com Startup ด้านการรวบรวมการขนส่งเข้ามาไว้ที่เดียวกันได้เริ่มให้บริการโดยมี โมชิออกมาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัวพร้อมมี ริโอ เพื่อนจากญี่ปุ่นมาร่วมลงทุนด้วย และนอกจากนี้ยังลงทุนเล็กๆ ใน Skootar บริษัท Startup ทางด้านการขนส่ง ส่วนอีกบริษัทหนึ่งน่าสนใจ และน่าลงทุนมาก คือ Thoth Zocial.com ประกาศความร่วมมือกับ nielson บริษัทด้าน Research ชั้นนำของโลก Thoth Zocial เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับให้ดึงข้อมูลมาจากจากเฟซบุ๊ค และเขาได้ทดลองให้รุ่นน้องที่เรียนอยู่ชั้นปี 2 เขียนโปรแกรมขึ้นมา เพื่อดึงข้อมูลออกมาจากเฟซบุ๊คปรากฏว่ารุ่นน้องคนดังกล่าวก็สามารถทำได้
ในลำดับต่อมาเกี่ยวกับเรื่อง e-Commerce Trend เริ่มแรกในปี ค.ศ.1985 เมื่อตอนที่เว็บ ebay.com และ Amazon.com เข้ามา และมาเติบโตจริงๆ ในปี ค.ศ.2005 ยอดขาย e-Commerce ในอเมริกา มีการซื้อขายผ่าน e-Commerce ประมาณ 7% และซื้อตามห้างสรรพสินค้าอีกประมาณ 90% สาเหตุที่ทำให้ e-Commerce เติบโตเร็วเพราะโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นตัวเร่งความเร็ว สำหรับยอดขายผ่าน e-Commerce ทั่วโลก อันดับ 1 ได้แก่ Amazon.com, อันดับ 2 alibaba.com, และอันดับ 3 ได้แก่ Walmart.com เว็บไซต์ Amazon.com ใช้วิธีการซื้อบริษัท และ Amazon มี Amazon Prime คือบริการพิเศษสำหรับสมาชิกของ Amazon โดยเสียค่าลงทะเบียนรายปี 79 $ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าต่าง ๆ ฟรีจากบริษัท Amazon การบริการเช่นว่านี้เป็นลักษณะการเหมาจ่าย ลูกค้าสามารถดูหนัง ฟังเพลงฟรีออนไลน์ และยังมีการนำเอา Bitcoin ไปใส่ไว้นี่ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของ Amazon นอกจากนี้ ยังมีการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าระบบ Dynamic Pricing เมื่อราคาสินค้าเปลี่ยน ระบบก็สามารถปรับเปลี่ยนราคาอัตโนมัติตามความต้องการของลูกค้า เช่น ลูกค้าซื้อสินค้ามากราคาก็จะถูก ลักษณะเดียวกับตั๋วเครื่องบินของ Air Asia ถ้าซื้อตั๋วล่วงหน้าหลายเดือนราคาก็จะถูกลง เช่นการเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ราคาจะเหลือเพียง 100 กว่าบาทเท่านั้น รวมถึงมีการทดลองใช้ Amazon Dash Button ให้บริการแก่ลูกค้าคนสำคัญฟรี โดยที่ลูกค้าต้องเข้าไปลงทะเบียน (Sign Up) ก่อนเพื่อรอรับ Dash Button ของสินค้าแต่ละชนิดของโลโก้แบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ผงซักฟอก กาแฟ ขนมขบเคี้ยว รวมไปถึงประเภทของอาหารแช่แข็ง ที่สามารถใส่ไว้ในตู้เย็นได้ เช่น ซอสมะเขือเทศ นม เห็ด กุ้ง เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้ต้องมีสมาร์ทโฟนที่ได้ทำการติดตั้ง Application ของ Amazon เอาไว้แล้วโดยมีการใช้งานผ่านเครือข่าย Wi-Fi วิธีใช้กดปุ่มสั่งสินค้า หรือพูดใส่ Dash Buttons เพื่อสั่งสินค้าเข้ามาเพิ่มเติมเมื่อสินค้าใกล้จะหมด และ Amazon ก็จะทำการจัดส่งสินค้าให้ถึงบ้าน การบริการในลักษณะนี้เป็นการนำเอาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้ามาช่วยในการทำงาน ทำให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Amazon ยังใช้กลยุทธ์คลังสินค้า (Warehouse) ซึ่งเป็นหัวใจของ e-Commerce วิธีการคือใช้หุ่ยนต์ที่มีชื่อว่า คีวา (KIVA) เดินไปหยิบสินค้าตามชั้นวางสินค้า ปัจจุบัน Amazon มีพนักงาน 40,000 คน ตั้งอยู่ที่เมืองซีแอ๊ตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ Amazon กำลังมองหาที่ตั้งบริษัท Amazon แห่งที่ 2 ซึ่งมีผู้คนจากหลายเมืองหลายประเทศที่ต้องการให้ Amazon เข้าไปตั้งบริษัท เพราะว่าจะทำให้เกิดการจ้างงาน เช่น รัฐอริโซน่า, นิวยอร์ค, เคนตักกี้, รวมถึงประเทศแคนาดาด้วย เพราะว่าจะทำให้เมืองเติบโตขึ้น ใช้คนทำงานน้อย และมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ ทำให้นายเจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเว็บไซต์ขายปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก Amazon.com ซึ่งตอนแรกเป็นเว็บขายหนังสือเท่านั้น แต่ตอนหลังมานี้ขายของทุกอย่าง จนทำให้นายเจฟฟ์ เบโซส กลายเป็นมหาเศรษฐี และโค่นบัลลังก์มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกอย่าง บิล เกตต์ ได้และก้าวขึ้นมาเป็นคนร่ำรวยที่สุดในโลกแทนเรียบร้อย จากการประเมินล่าสุดของนิตยสาร Forbes ราคาหุ้นของ Amazon ปรับตัวสูงขึ้นในการซื้อขายในตลาดทำให้มูลค่าทรัพย์สินของเจฟฟ์ เบโซส เพิ่มขึ้นเป็นระดับประมาณ 90,500 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า บิล เกตต์ เจ้าของอาณาจักร Microsoft ที่มีทรัพย์สินประมาณ $90,000 ล้าน เบโซส ปัจจุบันอายุ 53 ปี มีหุ้นในบริษัท Amazon.com ราว 17% เขาคือผู้เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon เมื่อ 23 ปีที่แล้ว จากเว็บซื้อขายหนังสือมือสองจนกลายเป็นตลาดสินค้าออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยนายเจฟฟ์ เบโซส ถือเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่แซงบิล เกตต์ ขึ้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา (https://www.voathai.com)
ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน ทำให้มีผลกระทบต่อบริษัทค้าปลีกใหญ่ๆ ทั่วโลก ปิดสาขาลง เพราะมีคนสนใจหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น เช่น บริษัท Walmart, Best Buy, Radio Check, Toys Us ในประเทศไทยมีหลายธนาคารต้องปิดสาขาลงหลายแห่ง และโลกกำลังจะกลายเป็นสังคมไร้เงินสด บริษัท Walmart ได้สินใจซื้อ Jet.com เพื่อที่จะแข่งขันกับ Amazon ส่วนในแถบเอเชียเอง Alibaba.com ในควอเตอร์ที่ผ่านมา สามารถขายได้ 3 ล้านล้าน ผ่านทางโทรศัพท์มือถือซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และ Alibaba ก็ตัดสินใจซื้อ Lazada และก็ใช้หุ่นยนต์หยิบสินค้าคล้ายกับ Amazon และเป็นการก็อปปี้เทคโนโลยีมาได้เก่งมาก หุนยนต์ของ Alibaba สามารถหยิบสินส่งค้าได้ 1,8000 ชิ้นต่อชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้คน ตอนนี้ประเทศจีน และอีกหลายประเทศใช้สื่อ Social เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกมาก สำหรับในประเทศไทยบริษัท Central ได้ร่วมกับ JD.com หันมาทำธุรกิจ e-Commerce อย่างเต็มตัวแล้ว.