กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--มาลีกรุ๊ป
บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2560 ยอดขายและกำไรเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส2/2560 จากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นแทบทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยลดลงจากการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น พร้อมชูธุรกิจระหว่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ คาดปีหน้ากลับมาเติบโตโดดเด่น 30%
นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3/2560 ว่า ""ไตรมาส 3/2560 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มียอดขาย 1,500 ล้านบาท ลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการชะลอตัวของธุรกิจแบรนด์ (Brand) ในประเทศ และธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing: CMG) ในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกของธุรกิจ Brand ยังคงเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง โดยขยายตัวสูงถึง 60% YoY ในขณะที่ยอดขายธุรกิจ CMG ในประเทศ กลับมาเติบโต ทั้งจากยอดขายกลุ่มสินค้าเดิมและสินค้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี""
""ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่ายอดขายกลับมาเติบโต 9% QoQ เนื่องจาก 1) ยอดขายน้ำผลไม้ของธุรกิจ Brand ในประเทศ เพิ่มขึ้น 30% QoQ จากการเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ใหม่ 2) ยอดขายผลไม้กระป๋องของธุรกิจ Brand ในประเทศ เพิ่มขึ้น 50% QoQ หลังเริ่มฤดูกาลการผลิตใหม่ 3) ยอดขายของธุรกิจ CMG ในประเทศ กลับมาเติบโต ทั้งจากยอดขายกลุ่มสินค้าเดิมและสินค้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี และ 4) ธุรกิจ Brand ต่างประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง""
""สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2560 มีจำนวน 78 ล้านบาท ลดลง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง และในช่วงระหว่างปี 2558-2560 บริษัทฯ อยู่ในช่วงเวลาของการสร้างรากฐานและเตรียมความพร้อมในแต่ละด้านเพื่อรองรับการเติบโตขององค์กรในอนาคต ซึ่งเป็นระยะแรกจากกลยุทธ์การดำเนินงานระยะยาว 9 ปี โดยในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในโครงการที่สำคัญต่างๆ เช่น การปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงาน การจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ รวมถึงการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เกิดต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับยอดขายที่ยังไม่เกิดขึ้นในทันที ซึ่งจะเป็นไปเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า การลงทุนต่างๆ มีความสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องลงทุน โดยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักในการผลักดันให้บริษัทฯ สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ตามแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในระยะที่ 2 ในช่วงระหว่างปี 2561-2563""
""อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 27% เนื่องจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นแทบทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยลดลงจากการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น""
นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวต่อว่า ""หลังจากการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามแผน บริษัทฯ มีความมั่นใจว่า จะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ถึง 30% ในปี 2561 ซึ่งจะเป็นปีแรกของแผนกลยุทธ์การดำเนินงานระยะที่ 2 ที่บริษัทฯ ตั้งใจจะเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยการเติบโตจะมาจากทุกช่องทาง ตามกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย 1) การเพิ่มความหลากหลายของลูกค้า (Diversified Customers) ได้แก่ การขยายตัวของลูกค้าในธุรกิจ CMG 2) การเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Diversified Products) ได้แก่ การใช้เครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าที่หลากหลาย และช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใน Category ใหม่ๆ และ 3) การกระจายความเสี่ยงทางการตลาด(Diversified Markets) เช่น การฟื้นตัวของยอดขายของธุรกิจ Brand ในประเทศ รวมถึงแผนการตลาดตลอดทั้งปีเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี รวมถึงยอดขายต่างประเทศของธุรกิจ Brand ที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง""
""ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk หรือ KINO) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย โดยจะร่วมกันจัดตั้งธุรกิจร่วมค้า 2 บริษัท ใน 2 ประเทศ ได้แก่ 1) ""บริษัท มาลี คีโน่ (ประเทศไทย) จำกัด""ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลในกลุ่มบริษัทคีโน่เข้ามาทำการตลาดและการจัดจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ส่วนบุคคลมีอัตราการทำกำไรที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัทฯ จึงคาดว่า ธุรกิจใหม่นี้จะช่วยทำให้อัตรากำไรของบริษัทฯ โดยรวมสูงขึ้น และ 2)""บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย"" มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม รวมทั้งการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ตรามาลีในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกลุ่ม KINO มีเครือข่ายการจำหน่ายและกระจายสินค้าครอบคลุมทั่วทั้งประเทศอินโดนีเซีย โดยมีจุดขายมากกว่า 1 ล้านจุด ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจร่วมทุนทั้ง 2 แห่ง จะสามารถเดินหน้าดำเนินธุรกิจได้ในกลางปีหน้า""
""บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยขยายฐานธุรกิจเข้าไปในตลาดใหม่และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้โตอย่างก้าวกระโดดสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และจะสามารถช่วยผลักดันยอดขายในปีหน้าให้เติบโตได้ 30% ตามเป้าหมาย"" นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวสรุป