กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
""ออลล่า"" ฟันกำไร Q3/60 โต 20%หลังรายได้เครน และรอกไฟฟ้ารวมถึงประตูอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น กอด Backlog 353 ลบ. ปรับแผนหาพันธมิตรใหม่บุกอินโดฯ เพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจ
นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล่า จำกัด (มหาชน) หรือ ALLA ผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครน และรอกไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุอุปกรณ์ และสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้าต่าง ๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 13.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับผลประกอบการช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11.15 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 184.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.72 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับผลประกอบการช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 134.17 ล้านบาท
โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ และรายได้ในไตรมาสที่ 3 เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯมีรายได้จากการขายเครนและรอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหากรรม จากกลุ่มธุรกิจประเภทโรงไฟฟ้า และกลุ่มห้างสรรพสินค้า ในขณะที่รายได้จากการบริการเพิ่มสูงขึ้นจากงานสัญญาบริการประตู ซึ่งบริษัทฯได้ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มร้านค้าปลีกนอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ณ เดือนกันยายน 2560 จำนวน 353 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมที่ผ่านมาจำนวน 129 ล้านบาท หรือเพิ่มสูงขึ้น 58% ซึ่งงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบดังกล่าวจะทยอยรับรู้รายได้ ตั้งแต่ไตรมาสที่สุดท้ายของปีนี้เป็นต้นไป
ในขณะเดียวกันบริษัทฯได้มีการปรับแผนในการขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย โดย คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศอินโดนีเซียกับบริษัท PT. WiryaKrenindo Perkasaเพื่อประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายเครนและรอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหกรรม โดยบริษัทคาดว่าจะลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 33 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯจะยังคงเดินหน้าในการขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียเนื่องจากยังคงเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจเครนและประตูอุตสาหกรรมในประเทศอินโดนีเซีย และยังคงแสวงหาโอกาสในการเข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียตามแผนทางธุรกิจเดิม ด้วยการหาพันธมิตรรายใหม่ที่มีความพร้อม และศักยภาพในการร่วมกันสนับสนุนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯและผู้ถือหุ้น
""ภาพรวมของธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น จากการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น ขณะที่แผนการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเราจะมีการปรับแผนด้วยการหาพันธมิตรใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ แต่ยังคงยืนยันว่าเรามีความมุ่งมั่นที่ขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเหมือนเดิม เนื่องจากการมองเห็นโอกาสที่เปิดกว้าง และศักยภาพในการขยายธุรกิจ"" นายองอาจกล่าว