กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--เวิรฟ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดตัว SDN & Cloud Computing Center ระบบเครือข่ายสำหรับสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกบนพื้นฐานโครงสร้างเทคโนโลยีเครือข่ายที่ครบวงจรที่สุด เร็วที่สุด และทันสมัยที่สุด พร้อมเป็น ""มหาวิทยาลัยดิจิทัล (Digital University)"" เต็มรูปแบบ ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตบุคลากรคุณภาพแห่งอนาคตอย่างเต็มตัว เดินหน้าพลิกโฉมการศึกษาไทยสู่ Education 4.0 พร้อมเผยชีวิตการเรียนการสอนในรั้ว สจล. ที่สมาร์ทขึ้น
หลังติดตั้งและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ เมื่อเร็วๆ นี้
ผศ.อัครินทร์ คุณกิตติ ผู้อำนวยการสำนักบริการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ""สจล. มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน Digital Transformation ทางด้านการศึกษาของไทย ในฐานะมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สจล. ไม่เคยหยุดนิ่งในการเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันวงการการศึกษาไทยสู่ Education 4.0 เราให้ความสำคัญกับหลักสูตรที่จะช่วยเสริมทักษะให้กับนักศึกษา และในขณะเดียวกันก็รับเอาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเข้ามาใช้ เนื่องด้วยความเชื่อว่าเทคโนโลยีคือ 'กระดูกสันหลัง' ของระบบการศึกษาที่จะช่วยให้บุคลากรในมหาวิทยาลัยเชื่อมต่อกับโลกการเรียนรู้ภายนอกห้องเรียนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และในวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล ด้วยการเปิดตัว SDN & Cloud Computing Center ระบบเครือข่ายสำหรับสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในโลก ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ สจล. หัวเว่ย และจีเอเบิล
สจล. หัวเว่ย และจีเอเบิล มีวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายในการยกระดับการศึกษาที่ตรงกัน อันก่อให้เกิดความร่วมมือครั้งสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ และติดตั้งโครงข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ 100 กิกะบิต พร้อมเครือข่าย WiFi 3,000 จุดทั่วสถาบันฯ ซึ่งจะช่วยยกประสิทธิภาพการเรียนการสอนในรั้ว สจล. ในอนาคตเราวางแผนจะเปิดสอนออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเรียนทางไกลจากมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่มีความร่วมมือกับ สจล. ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังได้วางแผนจัดตั้งห้องปฏิบัติการและสถาบันฝึกอบรมในขั้นต่อไปเพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพที่มีทักษะและความสามารถด้านดิจิทัล""
นายกริช เลิศวลีรัตน์ รองประธานส่วนงานบริการ กลุ่มบริษัทจีเอเบิล กล่าวว่า ""การยกระดับการศึกษาไทย นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับจีเอเบิล เราตั้งคำถามเสมอว่าทำอย่างไรจึงจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเชื่อมต่อประสบการณ์ของบุคลากรภายในสถาบันการศึกษา ซึ่งมองหาความสะดวก รวดเร็วของการเชื่อมต่อและใช้งานระบบเครือข่าย ในฐานะ Agent of Digital Transformation ที่เป็นพันธมิตรกับทางสจล.
มามากกว่า 20 ปี เราตอบคำถามที่ตั้งไว้ด้วยการค้นหาสุดยอดเทคโนโลยีและโซลูชั่น พร้อมติดตั้งระบบเครือข่ายสำหรับสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่หัวเว่ยเคยทำมา ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
โดยเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คุ้มค่าในการลงทุน ประหยัดพลังงาน เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม มีความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย และใช้เวลาในการติดตั้งเทคโนโลยีที่สั้นกระชับ""
ด้าน ดร.จุมพต ภูริทัตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ
กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ""หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Smart Education โดยพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในไทยและทั่วโลกด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน
เมื่อการศึกษาก้าวข้ามประตูห้องเรียนออกสู่โลกกว้างอันไร้พรมแดน ความรู้เป็นมากกว่าตัวหนังสือที่ถูกเขียนบนไวท์บอร์ด ผู้เรียนและผู้สอนสามารถเชื่อมต่อยังห้องสมุดออนไลน์ เรียนผ่านห้องเรียนออนไลน์ ดาวน์โหลดเนื้อหาและส่งงานออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บแล็ตที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยเหตุนี้หัวเว่ยจึงได้นำเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่ดีที่สุดเข้ามาใน สจล. เพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อโลกการศึกษาไปสู่โลกดิจิทัล สร้างความเท่าเทียมกันในเรื่องโอกาสทางการศึกษา และปรับปรุงคุณภาพการสอน โดยระบบเครือข่ายในสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่หัวเว่ยเคยทำมา ประกอบไปด้วย
100G Based Campus Core Network ในสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทย ระบบโครงข่ายคอมพิวเตอร์ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลที่ความเร็ว 100 กิกะบิตต่อวินาที ทำให้นักศึกษากว่าหนึ่งหมื่นคนในมหาวิทยาลัย สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายและแบบต่อสายเพื่อการเรียนการสอนแบบสตรีมมิ่งออนไลน์ได้ในเวลาเดียวกันแบบไม่สะดุด รวมถึงสามารถนำเสนอสื่อมัลติมีเดียคุณภาพสูงเพื่อการเรียนการสอนได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเป็นการพลิกโฉมห้องเรียนโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเสมอไป แต่สามารถเรียนรู้จากที่ใดก็ได้บนโลก ซึ่งเป็นการพลิกโฉมหน้าวงการการศึกษาอย่างแท้จริง
SDN (Software-defined network) for Campus and Data Center Convergence แห่งแรกในประเทศไทย คือระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงทุกเครือข่ายในมหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งเดียว และรวมความเป็น Data Center เข้ากับ Campus Network เพื่อผู้ดูแลเครือข่ายสามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น และเอื้อต่อการขยายตัวของโครงข่ายในอนาคต ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของการพัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก
Educational Cloud Data Center in Container ครั้งแรกของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่นำเอาอุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดบรรจุไปในตู้คอนเทนเนอร์ที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลจัดเก็บแบบบูรณาการ (All-in-one) ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมากกว่าแบบเดิมถึง 3 เท่าและติดตั้งได้เร็วกว่า 5 เท่าเพราะไม่จำเป็นต้องสร้างอาคารดาต้า เซ็นเตอร์เหมือนเคยอีกต่อไป เพียงใส่อุปกรณ์ลงไปในตู้คอนเทนเนอร์ เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้ทันที (Plug-And-Play) มาพร้อมกับระบบจ่ายและจัดสรรพลังงาน ระบบระบายความร้อน ตู้ติดตั้งไอที ระบบดับเพลิง ระบบป้องกันไฟกระชาก และระบบตรวจติดตาม การทำงานมีเสถียรภาพและปลอดภัยสูง เริ่มใช้งานได้รวดเร็ว ย้ายตำแหน่งได้ง่าย ประหยัดพลังงานและมีค่าใช้จ่ายต่ำ
WiFi coverage with whole campus Free Mobility แห่งแรกในประเทศไทย เครือข่าย WiFi ที่เชื่อมต่อได้ถึงระดับกิกะบิตต่อวินาที ครอบคลุมทั่วมหาวิทยาลัยถึง 3,000 จุด ทำให้คณาจารย์และนักเรียนสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทุกที่ภายในมหาวิทยาลัย""
""นับตั้งแต่ติดตั้งระบบเครือข่ายและเปิดใช้งานจริงตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา สจล. มีโอกาสได้พลิกโฉม การเรียนการสอนของทุกคนในรั้วมหาวิทยาลัยให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น เราส่งเสริมการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ และพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพในระดับสากล การเชื่อมต่อที่รวดเร็วเปิดโอกาสให้ทั้งคณาจารย์ นักเรียน และบุคลากรในมหาวิทยาลัยได้เข้าถึงความรู้ที่อยู่ในโลกอันไร้พรมแดน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาก้าวทันโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้ได้ดียิ่งขึ้น คณะอาจารย์สามารถสืบค้นปัญหาและวิธีแก้ไขที่เกิดขึ้นจริงจากทั่วทุกมุมโลก และให้คำแนะนำแก่นักศึกษาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ ในขณะเดียวกันนักศึกษาเองก็สามารถค้นหาข้อมูล ทำงาน ดาวน์โหลด และอัพโหลดข้อมูลได้ในทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งเรายังหวังว่าระบบเครือข่ายที่สมบูรณ์แบบนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะมารองรับ Internet of Things (IoT) ที่จะช่วยยกระดับความสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต่อไปในอนาคต"" ผศ.อัครินทร์ กล่าวทิ้งท้าย