กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (""MINT"") ประกาศกำไรสุทธิจำนวน 3,804 ล้านบาทในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 3,229 ล้านบาท โดยการเติบโตของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งสามกลุ่มธุรกิจ แม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับความท้าทายในหลายตลาด ทั้งนี้ บริษัทสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและในบางประเทศที่สำคัญที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ และมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การกระจายเครือข่ายธุรกิจในหลากหลายภูมิภาค รวมถึงการปฏิบัติงานอันเป็นเลิศและการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย ส่วนในไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จาก 990 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2559
ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจำนวน 2,322 ล้านบาทในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1,922 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3 ปี 2560 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจำนวน 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จาก 561 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2559 การเติบโตดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงแรมในประเทศไทย บราซิล และโปรตุเกส รวมถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายของโครงการอนันตรา เวเคชั่น คลับ ภายหลังจากได้มีการปรับปรุงรูปแบบการขายใหม่ในปี 2558 กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยที่บริษัทเป็นเจ้าของเองมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ในไตรมาส 3 ปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เนื่องมาจากโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงแรมอวานี ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ และ โรงแรมเดอะ เซ็นต์ รีจิส กรุงเทพฯ ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่าร้อยละ 10 ในไตรมาส 3 ปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โรงแรมทิโวลีสองแห่งในประเทศบราซิลยังคงได้รับผลประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการปรับปรุงโรงแรม ส่งผลให้มีอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 ปี 2560 ส่วนกลุ่มโรงแรมทิโวลีในประเทศโปรตุเกสมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่าร้อยละ 10 จากการปรับปรุงโรงแรมและช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ โครงการ อนันตรา เวเคชั่น คลับมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องสี่ไตรมาสติดต่อกัน ภายหลังจากได้มีการปรับปรุงรูปแบบการขายใหม่ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีการเติบโตของรายได้ในอัตราเกือบร้อยละ 30 ในไตรมาส 3 ปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้โครงการอนันตรา เวเคชั่น คลับ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ผันผวนตามผลการดำเนินงานที่สูง (High Operating Leverage) มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมากใน ไตรมาส 3 ปี 2560 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์มั่นใจในผลการดำเนินงานของบริษัทตลอดปี 2560 และในปี 2561 โดยโรงแรมในประเทศไทยจะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว ทั้งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงและต่อไปในอนาคต ส่วนการดำเนินงานในต่างประเทศ ไมเนอร์ โฮเทลส์คาดว่าโรงแรมในประเทศบราซิลจะสามารถรักษาการเติบโตของอัตราการเข้าพักและค่าห้องเฉลี่ยต่อคืนได้อย่างต่อเนื่อง จากการปรับปรุงโรงแรมและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ส่วนในประเทศโปรตุเกส ไมเนอร์ โฮเทลส์จะยังคงดำเนินการลงทุนปรับปรุงโรงแรมในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวเพื่อสร้างการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งในปี 2561 นอกจากนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์คาดว่าการขายโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายและอนันตรา เวเคชั่น คลับจะช่วยให้รายได้และกำไรสุทธิของธุรกิจโรงแรมเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิจำนวน 1,413 ล้านบาทในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1,260 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3 ปี 2560 ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็น 442 ล้านบาท จาก 420 ล้านบาทใน ไตรมาส 3 ปี 2559 แม้ว่าจะเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจและสภาวะการแข่งขันที่ท้าทายในหลายตลาดที่สำคัญที่ไมเนอร์ ฟู้ดดำเนินธุรกิจอยู่ ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยของธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 เพื่อรองรับการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศในช่วงไว้อาลัย การปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและระบบการจัดซื้อและขนส่งของธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน การเพิ่มขึ้นของกำไรจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในริเวอร์ไซด์ของไมเนอร์ ฟู้ดในเดือนมิถุนายน ปี 2560 ผลการดำเนินงานที่มั่งคงของธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลีย และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจร้านอาหารในตลาดใหม่ๆ ซึ่งยังมีสัดส่วนรายได้ไม่มาก เช่น ตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ด้วยการขยายสาขาเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเป็นทั้งหมด 2,042 สาขา ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 ส่งผลให้ไมเนอร์ ฟู้ดมียอดขายโดยรวมทุกสาขาเติบโตในอัตราร้อยละ 3.2 ในไตรมาส 3 ปี 2560 ไมเนอร์ ฟู้ดคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้และในปี 2561 ในประเทศไทย ไมเนอร์ ฟู้ดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการบริโภค โดยคาดว่าการบริโภคภายในประเทศจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงเทศกาลที่กำลังจะมาถึงในไตรมาส 4 ปี 2560 และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2561 ภายหลังจากช่วงไว้อาลัย ส่วนในต่างประเทศ คาดว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนจะยังคงเป็นประเทศที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต โดยมีผลการดำเนินงานและอัตราการทำกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากภาวะการบริโภคภายในประเทศที่ดีและประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่สูงขึ้น ธุรกิจการให้สิทธิแฟรนไชส์ของธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลียคาดว่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนตัว ในขณะที่ธุรกิจเมล็ดคั่วกาแฟยังคงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีกำไร ส่วนแบรนด์เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในหลายประเทศนอกประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดของแบรนด์ นอกจากนี้ อัตราการทำกำไรของธุรกิจร้านอาหารในประเทศสิงคโปร์น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อไปในอนาคต จากการปิดตัวสาขาร้านอาหารที่ไม่ทำกำไร
ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์มีกำไรสุทธิจำนวน 69 ล้านบาทในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 47 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3 ปี 2560 ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์มีกำไรสุทธิจำนวน 27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 9 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะแบรนชาร์ล แอนด์ คีธและอเนลโล่ ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้ามีผลการดำเนินงานและอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3 ปี 2560 ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์คาดว่าผลการดำเนินงานจะยังคงแข็งแกร่งตลอดปีนี้และในปี 2561 จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลและแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศโดยภาพรวมที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างทางธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในเครือต่อไป
ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบสามธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,000 สาขา ใน 18 ประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าเดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทย เอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, เบร็ดทอล์ค (ประเทศไทย) และริเวอร์ไซด์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 156 แห่ง ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอเลวาน่า คอลเลคชั่น, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เจ ดับบลิว แมริออท, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 24 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป และอเมริกาใต้ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์จากต่างประเทศ ทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ในบ้านและครัวเรือน และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยเครื่องหมายการค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ แก๊ป, บานาน่า รีพับบลิค, บรูคส์ บราเธอร์ส, เอสปรี, บอสสินี่, เอแตม, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เพโดร, แรทลีย์, อเนลโล่, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์, โจเซฟ โจเซฟ และอีทีแอล เลิร์นนิ่ง บริษัทมีเว็บไซต์บีมิ้นท์เพื่อนำเสนอสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ชั้นนำผ่านช่องทางออนไลน์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com