กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ทีโอที
สนญ.ทีโอที แจ้งวัฒนะ นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการ 4G LTE-TDD ซึ่งเมื่อ 25 ธันวาคม 2558 และ 22 เมษายน 2559 กสทช.ได้เห็นชอบแผนการปรับปรุงการใช้งานคลื่น 2300 MHz. เพื่อปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเป็นแอลที จำนวน 60 เมกกะเฮิร์ตซ์ โดยสามารถให้บริการ Fixed Wirelessและ Mobile Broadband ได้ ทั้งนี้ การพัฒนาคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการ 4G LTE-TDD ของ ทีโอที เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาใช้ทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างประโยชน์กับประชาชนทั้งในพื้นที่เมืองและในพื้นที่ห่างไกลเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการให้ประชาชนคนไทยทุกภาคได้มีโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างเท่าเทียม รองรับกับความต้องการในการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ของตลาดทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมถึงเป็นการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพตามนโยบายประเทศไทย 4.0
สำหรับการพัฒนาคลื่น 2300 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการ 4G LTE-TDD ทีโอที ได้สรรหาพันธมิตรธรุกิจโดยได้พิจารณาคัดเลือกให้ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เป็นคู่ค้าทางธุรกิจ โดย ทีโอที เป็นผู้บริหารคลื่นรวมถึงการบริหารจัดการโครงข่ายปฏิบัติกลาง(เน็ตเวอร์กโอเปอเรชั่นเซ็นเตอร์) และควบคุมการเข้าถึงระบบข้อมูลการใช้งานของลูกค้าโดยตรง ซึ่งการเป็นพันธมิตรกับดีเทคเป็นการทำสัญญาลักษณะเดียวกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด
นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที กล่าวว่า ทีโอที ได้ส่งร่างสัญญาดังกล่าวไปยัง กสทช.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นการดำเนินงานของ ทีโอที สอดคล้องกับมาตรา 46 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 ทีโอที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจาก กสทช. ซึ่ง ทีโอที เข้าใจว่า กสทช. จำเป็นต้องมีกระบวนการในการพิจารณาให้รอบคอบบนพื้นฐานของประโยชน์สูงสุดของประเทศ อย่างไรก็ตาม ทีโอที ต้องขอขอบคุณ กสทช.ที่ได้ให้การสนับสนุนเห็นชอบแผนการปรับปรุงการใช้งานคลื่น 2300 MHz. เพื่อปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเป็นแอลทีมาตั้งแต่ต้น และเชื่อมั่นว่า กสทช.จะยังคงให้การสนับสนุนการที่ ทีโอที นำทรัพยากรที่มีอยู่แล้วคือคลื่นมาสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดกับประเทศ และเชื่อว่าหลังจากการประชุมวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 นี้ จะมีผลประชุมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการและต่อประเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพตามนโยบายประเทศไทย 4.0