กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--Worklink PR
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตช่วงหลังจากนี้ (ต.ค.60 – มี.ค.61) เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คาดว่า EPG จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ โดย ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex อยู่ระหว่างเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตในสหรัฐอเมริกาด้วยการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงเพิ่มกำลังการผลิต EPDM Insulation เพื่อรองรับการเติบโตที่สูงขึ้นในสหรัฐอเมริกา และเร่งทำการตลาดเพิ่มเติมในกลุ่มอาเซียน อาทิ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงเร่งขยายตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา (Aero-roof)
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas อยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดรับกับ Lifestyle ของผู้บริโภค สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ร่วมพัฒนากับค่ายรถยนต์จะเริ่มทยอยออกสู่ตลาด ขณะที่ธุรกิจ TJM ในออสเตรเลีย ได้ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์โดยนำระบบซอฟแวร์ Supplier Partnership Program (SPP) มาใช้ในการบริหารจัดการ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกสินค้าใหม่ๆ เช่น Pro Locker เป็นต้นปัจจุบัน TJM มี Corporate Store 1 แห่ง ที่ Perth ออสเตรเลีย และมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่อีก 1 แห่ง ที่เมือง Brisbane ออสเตรเลีย ในปีนี้
ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีความพร้อมด้านกำลังการผลิตและเทคโนโลยีการผลิต รองรับความต้องการของตลาด แต่เนื่องจากการบริโภคสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายในประเทศยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจึงได้ปรับกลยุทธ์เน้นการทำตลาดของแบรนด์ ""eici"" เพื่อขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าประเภททั่วไป และขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกล่องใส่อาหาร รวมถึงเน้นขยายตลาดกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนของปี 2560/61 (เม.ย.-ก.ย.60) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 4,812.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% มีกำไรสุทธิ 578.4 ล้านบาท ลดลง 25.6% จากงวด 6 เดือนของปีก่อนหน้า โดยไตรมาสที่ 2 ปี 2560/2561 (ก.ค.60 – ก.ย.60) บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,430.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% และมีกำไรสุทธิ 291.9 ล้านบาท ลดลง 26.4% โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น AEROKLAS 45% AEROFLEX 31% และ EPP 24% และคาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะสูงขึ้นขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และแรงกระตุ้นให้จับจ่ายใช้สอยของรัฐบาล รวมถึง mood&tone ของประชาชนเริ่มดีขึ้น
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อไปว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 กันยายน 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 280 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2560 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ถือหุ้น