กรุงเทพฯ--21 พ.ย.--ซีเคร็ท คอมมูนิเคชั่นส์
สมองเป็นส่วนของอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกายของคนเรา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ความรู้สึกนึกคิด หรือความจำ โดยสมองจะเริ่มมีการพัฒนาหลังจากปฏิสนธิซึ่งขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา เซลล์ประสาทของทารกจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น 250,000 เซลล์ต่อนาที เพราะฉะนั้นทุกนาทีจึงมีความหมายในการพัฒนาศักยภาพสมองของลูก
แพทย์หญิงวรัชยา ฟองศรัณย์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า การมีลูกน้อยเป็นเด็กเฉลียวฉลาด คือสุดยอดปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่ โดยทั่วไปสมองของเด็กจะค่อยๆ พัฒนาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดาได้ 8 สัปดาห์ และเซลล์สมองจะค่อยๆ พัฒนาได้อย่างเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 8 ขวบ แต่ช่วงที่สมองพัฒนาได้ที่สุดคือ ช่วงแรกเกิดจนถึง 3 ขวบ แต่มักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ โดยพบว่า เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่คลอดน้ำหนักน้อย คุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องคลอดลูกยาก รวมไปถึงคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกแฝด จะมีความเสี่ยงที่ลูกน้อยเกิดป่วยเป็นโรคพิการทางสมอง (CP)
แพทย์หญิงวรัชยา กล่าวต่อว่า โรคสมองพิการ(Cerebral Palsy) หรือ ซี พี (C.P.) เป็นคำรวมของกลุ่มอาการของผู้ป่วยเด็กที่มีความพิการอย่างถาวรของสมอง ความพิการนี้จะคงที่และไม่ลุกลามต่อไป ซึ่งมีผลให้การประสานงานของการทำงานของกล้ามเนื้อบกพร่อง ส่งผลให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวและการทรงตัวที่ผิดปกติ เช่น การเกร็งของใบหน้า ลิ้น ลำตัว แขน ขา การทรงตัว การทรงท่าในขณะนั่ง ยืน เดิน ผิดปกติหรืออาจเดินไม่ได้ นอกจากนี้ อาจมีความผิดปกติในการทำงานของสมองด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีความบกพร่องในการมองเห็น ได้ยิน การรับรู้ การเรียนรู้ สติปัญญา และโรคลมชัก เป็นต้น สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมาจาก 3 ระยะ อันได้แก่1.ระยะก่อนคลอด เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะสายสะดือพันคอ 2.ระยะคลอด ทารกที่มีปัญหาคลอดยาก สายสะดือถูกกดทับ และ 3.ระยะหลังคลอด ทารกได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ตัวเหลืองรุนแรงเมื่อแรกเกิด การติดเชื้อในสมอง ระยะที่ 1 และ 2 มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงทำให้สมองขาดออกซิเจน ส่วนระยะที่ 3 เกิดความผิดปกติที่เนื้อสมองเองโดยตรง
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จำกัด ธนาคารสเต็มเซลล์เอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวในปัจจุบันที่มีการเก็บและรับฝากสเต็มเซลล์ทั้งจากเลือดในรกและสายสะดือและจากกระแสโลหิต กับ โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง ได้รายงานความปลอดภัยและความเป็นไปได้ของการรับสเต็มเซลล์ที่ได้จากการเก็บเลือดจากรกและสายสะดือของตนเองกับผู้ป่วยเด็กในวัยหัดเดินที่มีการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองพิการชนิด CP 2 ราย ร่วมกับการฉีดยาGranulocyte Colony Stimulating Factor (G-CSF) ในขนาดที่ต่ำ เพื่อให้ประสิทธิผลในการเคลื่อนไหวของเด็กที่เป็นโรคสมองพิการเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
แพทย์หญิงวรัชยา กล่าวปิดท้ายว่า อุบัติการณ์ของโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) ในเด็กมีความชุกของโรคคือ 2.1 ต่อการกำเนิดเด็กทารก 1,000 คน และนอกจากนั้นโรคสมองพิการนี้ยังสามารถเกิดได้จากอุบัติเหตุของเด็กเล็กในลักษณะสมองได้รับการกระทบกระเทือน ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวและท่าทาง ทำให้ไม่สามารถเดินได้เหมือนเด็กปกติ เนื่องมาจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว โดยปกติแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจะเป็นแบบประคับประคองตามอาการและความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น การให้ยาคลายกล้ามเนื้อ การทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ การแก้ไขภาวะผิดปกติของการรับรู้ที่สำคัญ เช่น เครื่องช่วยการได้ยิน การฝึกพูด หรือแม้แต่การผ่าตัด ซึ่งจะทำในรายที่เด็กมีกระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดรูปที่รุนแรงเพื่อช่วยให้มีการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
เมื่อเร็วๆนี้ มหาวิทยาลัยดุกต์ สหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์ข้อมูลงานวิจัยผลสำเร็จของการรักษาผู้ป่วยโรคสมองพิการ CP ด้วยสเต็มเซลล์จากเลือดในรกและสายสะดือของตนเองว่าช่วยเพิ่มพัฒนาการของสมองได้จริงถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกของโลก ทำให้ปัจจุบันทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจโรคดังกล่าวเป็นอย่างมาก