กรุงเทพฯ--22 พ.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ หรือ MK เปิดเผยว่า จากการเปิดตัว "ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์" บริษัทในเครือเพื่อดูแลธุรกิจงานบริการหลังการขาย และบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งของบริษัทฯ และของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา พบว่า "ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์" มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สร้างการเติบโตมาจากการที่ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสนใจด้านการบริการหลังการขายมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์ต่อความรู้สึกของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ อาทิ การดูแลลูกบ้านในโครงการ การวางระบบการจัดการและการบริหารงานในโครงการทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งนิติบุคคล เพื่อดูแลรักษาและจัดระเบียบโครงการให้ได้ตามมาตรฐานอยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ
"ปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบการด้านธุรกิจบริหารโครงการจะเกิดขึ้นจำนวนมากในตลาด แต่ว่าบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และมาตรฐานการบริการ ตลอดจนการบริหารงานที่ได้มาตรฐานยังมีอยู่ไม่มากนัก และจากความต้องการผู้ให้บริการมืออาชีพในด้านนี้ "ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์" จึงได้พัฒนาทีมงานคุณภาพที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาชีพเฉพาะทาง และมีประสบการณ์ตรงมาให้บริการในทุกส่วนงาน ตลอดจนเปิดอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในด้านต่างๆ ที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรฐานการให้บริการ การดูแลลูกค้า การแก้ไขปัญหาและสนองตอบความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการบริการด้านต่างๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง ทั้งยังจัดตั้งทีมงานคอยตรวจสอบมาตรฐานเป็นประจำเสมอ" นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริม
ปัจจุบัน "ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์" ให้บริการโครงการรวม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การพัฒนาของ บมจ. มั่นคงเคหะการ รวม 11 โครงการ และโครงการของผู้ประกอบการอื่นๆ รวม 4 โครงการ รวมพื้นที่บริหารทั้งสิ้น 567,305.42 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท โดยในปี 2560 "ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์" คาดการณ์รายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าในปี 2561 จะมีรายได้เติบโตกว่า 200% หรือกว่า 40 ล้านบาท และจะขยายการรับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 8 โครงการ เกี่ยวกับทิศทางแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า "ในปี 2561 บริษัทฯ เน้นนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงาน การจัดการ การให้บริการ"
สำหรับมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และแนวโน้มในอนาคตนั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า "ที่ผ่านมาตลาดธุรกิจบริหารโครงการมีอัตราการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากอัตราการเปิดตัวของโครงการใหม่ยังคงมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านั้น ล้วนต้องการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการเข้ามาช่วยดูแลและให้บริการลูกบ้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการขายในครั้งต่อๆ ไป เพราะปัจจุบันเพียงแค่ปัจจัยด้านคุณภาพของสินค้าและราคายังไม่เพียงพอ เพราะลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจบริหารโครงการจึงถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านของโครงการนั้นๆ ซึ่งเมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าธุรกิจบริหารโครงการก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน"