กรุงเทพฯ--17 ก.ค.--Twentieth Century Fox
เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ กลับมาอีกครั้งในบทของคุณหมอที่สามารถสื่อภาษากับสัตว์ ใน Dr.Dolittle 2 ภาคต่อของภาพยนตร์ตลกทำเงินในปี 1998 ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 290 ล้านเหรียญ บัดนี้ได้เวลา ของการต่อสู้ระหว่าง ดูลิตเติ้ล กับ ดาร์วิน ในการปะทะกันระหว่าง ความเป็นมนุษย์โดยแท้จริง กับ พลังพิเศษที่มี ท่ามกลางสรรพสัตว์ที่พร้อมใจกันต่อสู้เป็นครั้งแรก
ใน Dr.Dolittle 2 คุณหมอคนเก่งมีคนไข้-สองขาและสี่ขา-มากเกินความสามารถในการดูแล ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาเพื่อนสัตว์ทั้งหลายของเขายังต้องการมากกว่าการรักษา พวกคริทเตอร์ต้องการปกป้องป่าของมันจากพวกมนุษย์ใจโฉดที่บุกรุกเข้ามา และพวกมันก็ต้องการความช่วยเหลือจากดูลิตเติ้ล
แผนการพิทักษ์ป่าของดูลิตเติ้ลคิด คือการมองหาสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ และแล้วเขาก็พบ เอวา หมีแปซิฟิกเวสต์เทิร์นที่อาศัยอยู่ลำพังตัวเดียวในป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์ เธอต้องการคู่-และดูลิตเติ้ลคิดว่าเขาหาคู่ให้เธอได้แล้ว นั่นคือ อาร์ชี่ ,หมีในคณะละครสัตว์ ที่อาศัยอยู่ในเมือง ชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นชีวิตจิตใจ แม้ว่าในตอนแรกอาร์ชี่จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ดูลิตเติ้ลก็เกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อว่าจะได้พบความรักในบ้านตามธรรมชาติของเขา
ดูลิตเติ้ลและลัคกี้ (สุนัขของเขา) มุ่งหน้าสู่ป่าเพื่อพยายามและสอนอาร์ชี่เกี่ยวกับวิถีของป่า โชคร้าย ที่การจับคู่หมีสองตัวทำท่าว่าจะล้มเหลว เพราะเอวาไม่ชอบพฤติกรรมที่ดูเหลวไหลไร้สาระของอาร์ชี่ แถมชีวิตรักของลัคกี้กับสุนัขป่าเจ้าถิ่นก็มีทีท่าไปไม่รอดพอๆกัน
บรรดาเพื่อนสัตว์จะยอมอยู่เฉยทำตามข้อเสนอของดูลิตเติ้ลหรือไม่? เขาจะได้รับสิทธิโดยชอบธรรมในการนำเอวาและอาร์ชี่มาอยู่ร่วมกัน และสามารถรักษาป่าเอาไว้หรือไม่? ลัคกี้จะโชคดีหรือไม่? ดูลิตเติ้ลและผองเพื่อนจะทำให้พวกหิวเงินได้ลิ้มรสของพลังที่แท้จริงในการต่อรอง-ตามสไตล์ของป่า
ในปี 1998 Dr.Dolittle ได้สร้างความบันเทิงให้กับเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก กับความสนุกสนาน ในการนำเรื่องราวคลาสสิคสำหรับเด็กของ ฮิวจ์ ล็อฟติ้ง ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคุณหมอใจดีที่สามารถพูดกับสัตว์ต่างๆได้ กลับมาทำใหม่ ภาพยนตร์ได้นักแสดงตลกระดับแนวหน้าอย่าง เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ เป็นผู้ที่นำความสนุกสนานและลูกเล่นต่างๆใส่ให้กับคาแร็คเตอร์ และยังได้เทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยใหม่ล่าสุด มาช่วยสร้างลักษณะพิเศษให้กับบรรดาสัตว์แต่ละตัว
อย่างเหนือการคาดเดา ท่ามกลางผลงานเด่นๆที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น 48 Hours , Bevery Hills Cop และ The Nutty Professor , บางที Dr.Dolittle อาจเป็นผลงานที่ทำให้ผู้ชมตอบรับ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ มากที่สุด "ในจำนวนภาพยนตร์ทั้งหมดที่ผมแสดง ผมได้รับเสียงตอบรับกลับมามากที่สุดจาก Dr.Dolittle" เมอร์ฟี่ย์ออกความเห็น "ไม่ว่าผมไปที่ไหน-ทุกหนทุกแห่งทั่วโลก-เด็กๆและวัยรุ่นจะเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดว่า 'เฮ้,ดร.ดี!'" กับความสำเร็จที่ได้รับ จึงไม่น่าแปลกใจที่เอ็ดดี้จะได้รับการทาบทามให้แสดงในภาคต่อของ Dolittle ลูกๆของเมอร์ฟี่ย์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขากลับมารับบทนี้อีกครั้ง "ลูกๆของผมชอบ Dolittle ภาคแรกมาก" เขาเล่า "ภาพยนตร์ทำให้ลูกๆและผมให้นึกถึงการ์ตูนบั๊กบันนี่สมัยก่อน ที่คนและสัตว์สามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้ ผมคิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ลูกๆของผม และเด็กๆทั่วโลกตอบรับ Dr.Dolittle อย่างรุนแรง"
ครอบครัวของผู้อำนวยการสร้าง Dr.Dolittle จอห์น เดวิส ก็ตอบรับ ภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างรุนแรงเช่นกัน "เรามักมีความสุขที่สุดเมื่อลูกๆเดินเข้ามาหาแล้วบอกกับเราว่า 'พ่อ หนูชอบภาพยนตร์เรื่องนั้น มันเจ๋งจริงๆ'" เดวิสกล่าว "นั่นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนั้น"
เดวิส , เมอร์ฟี่ย์ และ ผู้เขียนบท แลร์รี่ เลวิน (ร่วมเขียนบท Dr.Dolittle ในปี 1998 กลับมาร่วมกันสร้างปรากฏการณ์พิเศษอีกครั้ง จากบรรดาตัวละครที่ได้รับการแนะนำเมื่อสามปีก่อน เวลานี้พวกเขาสามารถขยายเรื่องราวสนุกสนานและดูว่าความสามารถพิเศษของดูลิตเติ้ลมีผลกระทบต่อครอบครัวและบรรดาเพื่อนสัตว์ของเขาอย่างไร "ใน Dolittle ภาคแรก เขารู้ตัวเองว่ามีพรสวรรค์พิเศษและรู้ว่าจะใช้มันอย่างไร" เมอร์ฟี่ย์อธิบาย "ตอนนี้โลกรู้ว่าเขาสามารถพูดกับสัตว์ มันจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวไปอย่างไร และเขาจะใช้ความสามารถพิเศษของเขาไปในทางไหน?
"เรารู้ว่าเราประสบความสำเร็จใน Dr.Dolittle ภาคแรก" จอห์น เดวิส เสริม "ดังนั้นในภาคใหม่จึงต้องขยายภาพให้ขนาดใหญ่ขึ้น , จำนวนสัตว์ฝูงใหญ่กว่าเดิม รวมไปถึงสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็ก เราต้องการภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังมีหัวใจและเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง"
ตามวัตถุประสงค์ แลร์รี่ เลวิน ซึ่งทำงานรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน ได้คิดโครงเรื่องในภาคนี้ด้วยการให้ดูลิตเติ้ลช่วยเหลือบรรดาสัตว์ทั้งหลายปกป้องป่าที่เป็นบ้านของพวกมัน "นับตั้งแต่เราได้แนวคิดเกี่ยวกับสัตว์พูดได้ ผมคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่น่าสนใจในการสร้างธีมของป่าที่กำลังจะถูกทำลาย ผ่านมุมมองของพวกสัตว์" เลวินอธิบาย ดังนั้นเขาจึงให้ดูลิตเติลเป็นคนวางแผนเพื่อปกป้องบ้านของพวกสัตว์เหล่านี้ และยังมีความสนุกสนานจากผู้ช่วยเหลือคนใหม่ "หมีละครสัตว์ดูวี่แววว่าอยากจะ'กลับคืนสู่ป่า'น้อยที่สุด" เลวินกล่าว "ดังนั้นผมจึงสร้างคาแร็คเตอร์ของอาร์ชี่ย์ หมีที่เคยแต่แสดงในสถานที่เล็กๆ กับความใฝ่ฝันที่จะเป็นดารา" แต่อาร์ชี่ย์ไม่เคยคิดถึงผู้ชมกลุ่มใหม่-ป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ขี้สงสัย---
ในการนำส่วนประกอบต่างๆมารวมกันไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ขัน , จิตใจ และขนาดที่ใหญ่กว่า เดวิส และ ทเวนตี้ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ได้ชักชวนผู้กำกับ สตีฟ คาร์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศจากการกำกับวิดีโอและจากงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Next Friday ภาพยนตร์ตลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คาร์เห็นพ้องต้องกันกับเดวิสและเลวินในการรับทำงานชิ้นนี้ "เราต้องการบทที่เขียนเหมือนกับคำบอกเล่าของคนที่เกิดบนถนนสายที่ 23" คาร์เล่า "ภาพยนตร์ที่สัตว์ยังคงเป็นสัตว์ แต่เรารู้สึกเหมือนว่าพวกมันเป็นมนุษย์"
เมื่อได้สคริปต์มาแล้ว ทีมสร้างก็เริ่มขั้นตอนคัดเลือกนักแสดง งานแรกของพวกเขาคือการนำเมอร์ฟี่ย์ และ "ครอบครัว" จากภาคแรก กลับมารวมกัน และพวกเขาก็รู้สึกยินดีเมื่อ คริสเต็น วิลสัน , ราเว่น - ซิโมเน่ และ ไคล่า แพร๊ต ตอบรับด้วยความเต็มใจในการกลับมารับบท ภรรยาและลูกสาวสองคนของดูลิตเติ้ล นอกจากนี้ยังมี คาแร็คเตอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เควิน พอลแล็ค และ เจฟฟรี่ย์ โจนส์ รับบทเป็นสองนักพัฒนาที่ดินจอมโกง ที่จ้องจะเปลี่ยนป่าให้เป็นคอนโดมีเนียม และยังได้ศิลปินเพลง ลิล'ซาน มารับบทเป็น อีริค แฟนหนุ่มคนใหม่ของ ชาริส ลูกสาวคนโตของดูลิตเติ้ล
คาร์พูดถึงบทของ ลิล'ซาน ว่า "การพบกันของคนต่างรุ่น" และ เป็นครั้งแรกในงานภาพยนตร์ของ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ คาร์อธิบาย "ในช่วงซีนแรกๆ อีริคขับรถมารับชาริสออกไปเดท และได้พบกับ ดร.ดูลิตเติ้ล ,พ่อของเธอ ซึ่งเขาเรียกว่า 'ป๋า' ครั้งแรกที่ผมอ่านบท ผมคิดว่า 'ป๋า' เหรอ? เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ จาก Beverly Hills Cop และ Saturday Night Live และ Trading Places เป็น 'ป๋า' เหรอ แต่ในที่สุดผมก็เข้าใจถึงความขัดแย้งของคนต่างรุ่นระหว่างดูลิตเติ้ล และ อีริค , และ ดูลิตเติ้ลกับลูกสาวที่กำลังเป็นวัยรุ่น มันก็ทำให้ผมเข้าใจ"
คาร์เคยร่วมงานกับ ลิล'ซาน วัย 18 ปี ในงานมิวสิควิดีโอ เล่าถึงความประทับใจในการทำงานครั้งนั้นว่า "ผมสาบานให้เลยว่า ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองกำลังทำงานวิดีโอให้กับวงสี่เต่าทองอยู่" คาร์เล่า "มีเด็กๆเที่ยววิ่งไล่จับผมเต็มไปหมด"
กับ Dr.Dolittle ในปี 1998 อารมณ์ขันส่วนใหญ่มาจากนักแสดงที่ให้เสียงพากย์ของสัตว์ "เราต้องการเสียงที่สดใหม่ และมีสไตล์" เดวิสเล่า "เพื่อให้เอ็ดดี้ได้ประลองฝีมือและคารมเต็มที่" สตีฟ ซาห์น ผู้ให้เสียงพากย์เป็นอาร์ชี่ย์ กล่าว เขาชอบ ไอเดียในการทำงานภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ แม้ว่าเขาต้องแยกบันทึกเสียงต่างหาก "เอ็ดดี้เป็นตำนานของภาพยนตร์ตลก และเขาเองก็เป็นนักแสดงที่น่าอัศจรรย์" ซาห์นชม "ผมรู้จักงานของเขา-ผมโตขึ้นมาพร้อมกับมัน และนั่นเป็นส่วนช่วยในการให้เสียงพากย์ แม้ว่าตัวผมเองจะบันทึกเสียงอยู่แต่ในสตูดิโอ"
นอกจากนี้ยังได้ ลิซ่า คุดโรว์ มาให้เสียงพากย์ของ เอวา ,หวานในของอาร์ชี่ย์ ; ฟิล พร็อคเตอร์ กลับมาให้เสียงพากย์เป็นเจ้าลิงขี้เมา ต่อจากภาคแรก ; แฟร้งกี้ มิวนิซ (Malcolm in the Middle) และนักร้องเพลงป็อป แมนดี้ มัวร์ ให้เสียงพากย์เป็นลูกหมี ; ไมเคิล ราพาพอร์ต เป็น โจอี้ ,แรคคูนมาฟิโอโซ ; แอนดี้ ดิค เป็น เล็นนี่ , มาฟิโอโซ วีเซิล ; บ็อบ โอเด็นเคิร์ก , เจมี่ เคนเนดี้ และ เดวิด ครอสส์ เป็น สุนัขเคไนน์ ที่มาเข้ารับการรักษา ; จาค็อป วาร์กัส (Traffic) เป็นกิ้งก่า และ เรนี เทย์เลอร์ เป็น เต่าแรนดี้
ส่วนประกอบที่ทำให้การทำงานใน Dr.Dolittle 2 สมบูรณ์ คงจะหนีไม่พ้นนักแสดงสี่ขาจำนวนกว่า 250 ตัว จากสายพันธุ์ต่างๆกันกว่า 70 สายพันธุ์ จากป่าทางตอนเหนือของอเมริกา บรรดาหมาป่า,ยีราฟ , พอสซั่ม , แร็คคูน ,สุนัข และนกฮูก มาอยู่รวมกันในโรงถ่ายของ ทเวนตี้ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เพื่อให้สตีฟ คาร์ พิจารณาคัดเลือก แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่ง กับการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรก ในบทเด่น นั่นคือ แท็งค์ หมี สูง 7 ฟุต หนัก 800 ปอนด์ ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งกว่า 50 ตัว ในการคัดเลือกสำหรับบท อาร์ชี่ย์ ผู้พิทักษ์ป่าที่กำลังจะถูกทำลาย "แท็งพิเศษจริงๆ" เดวิสกล่าวชมนักแสดงสี่ขาตัวใหม่ของฮอลลีวู้ด "บางครั้งมันเป็นเรื่องเรื่องยากที่คิดว่าเขาเป็นหมี ไม่ใช่คน"
ครูฝึกของแท็งค์ , ดั๊ก ซีอุส เป็นครูฝึกสัตว์ที่ชำนาญมากและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ ล่าสุดซีอุสฝึก บาร์ท ,หมีสูง 9 ฟุต หนัก 1,500 ปอนด์ ที่เป็นที่รู้จักของแฟนๆในฉายา "จอห์น เวนย์" ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของมันได้แก่ The Edge และ Legends of the Fall แท็งค์มาแทนที่บาร์ทซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อปีที่ผ่านมา (รวมอายุ 23 ปี)
แม้ว่าจะมีข้าวของมากมายในฐานะดาราฮอลลีวู้ด รวมทั้งอาณาเขตส่วนตัวบริเวณลานจอดรถของฟ็อกซ์ แท็งค์ยังได้สร้างความประทับใจให้กับนักแสดงและทีมงานด้วยพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติปราศจากการเสแสร้ง "แท็งค์น่ารักโดยธรรมชาติ , สบายๆ"ซีอุสกล่าว "เขายอมรับชีวิตที่เขาเป็น , มีทีท่าที่ดี โดยธรรมชาติแล้วหมีทุกตัวมักจะหงุดหงิดง่าย และแท็งก็ไม่ต่างกัน แต่เขาสามารถขจัดอารมณ์นั้นออกไปได้เร็ว"
แท็งค์และเพื่อนร่วมงาน (หมี-รวมทั้งลูกหมี ,ลิตเติ้ล บาร์ท แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก) มักอยากอาหารอยู่เสมอ รวมทั้งแอ๊ปเปิ้ล , เนื้อไก่ ,แครอท หรือแม้แต่อาหารสุนัขแห้ง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ Dr.Dolittle ลงมือถ่ายทำในช่วงเดือนฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาที่หมีมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และการอยากอาหารช้าลง ซีอุสและทีมของเขาต้องหาวิธีอื่นในการหลอกล่อแท็งค์สำหรับการแสดง กำลังใจและเวลาพัก/เล่นคือคำตอบ หลังการแสดงในแต่ละเทค ครูฝึกจะกล่าวชมว่า "เด็กดี"
และทีมงานที่เหลือทำหน้าที่เป็นลูกคู่ในช่วงระหว่างการทำงานด้วย "หลังจากเสร็จจากการถ่ายทำแต่ละเทค แท็งค์จะนั่งพัก แล้วจากนั้นก็จะมีเสียงประสานจากทีมงานว่า 'เด็กดี ,เด็กดี' ยาวนานเกือบ 15 นาที" คาร์หัวเราะ "ถ้าผมได้รับกำลังใจแบบนั้น ผมคงตัวลอยเชียวหละ"
พวกหมีชอบทำงานตามลำพัง ดังนั้นทีมสร้างจึงต้องใช้ทั้งวิธีไฮเทค (แยกถ่ายทำพวกสัตว์ต่างหาก จากนั้นจึงสร้างส่วนประกอบอื่นๆขึ้นมา) และโลว์เทค (แอมโมเนีย เพื่อป้องกันกลิ่นของหมีตัวอื่น) หนึ่งในฉากสนุกสนานของภาพยนตร์ คือ การเลียนแบบมาจากสารคดี Scared Straight , ในฉากที่หมีละครสัตว์สองตัวพยายามขู่ แท็งค์/อาร์ชี่ย์ ให้รู้สึกว่าอยู่ที่นี่ดีกว่าอยู่ "ข้างนอก"
ด้วยความสามารถของแท็งค์และนักแสดงสัตว์ตัวอื่นๆ พวกเราจำเป็นต้องใช้มายาแห่งฮอลลีวู้ดเพื่อให้พวกมันสามารถ "พูดคุย" ได้ ดังนั้น Rhythm & Hues ซึ่งดูแลเรื่องสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็ก ต้องใช้เทคนิคอาร์ต ดิจิตอล อนิเมชั่น ที่ทันสมัยที่สุดเพื่อสร้างภาพการเคลื่อนไหวของปาก และการแสดงออกทางสีหน้าและการเคลื่อนไหวต่างๆกัน เพื่อสร้างอารมณ์ขันและความมหัศจรรย์ให้กับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย
สำหรับการถ่ายทำช็อตของอาร์ชี่ย์ ทีมสร้างใช้สัตว์อนิเมทรอนิคที่ทำขึ้นมาอย่างประณีต ภายใต้การบังคับของคน 5 คน แต่ส่วนใหญ่ที่ผู้ชมจะได้เห็นบนจอก็คือแท็งค์และบรรดาสัตว์อื่นที่เป็นตัวพวกมันเองจริงๆ อย่างที่สตีฟ คาร์ กล่าวว่า "ผมบอกได้เลยว่า อย่างน้อย 90% เป็นสัตว์จริง การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ที่คุณไม่สามารถถอดแบบ ไม่ว่าจะพยายามอย่างมากแค่ไหน"
คาร์ชื่นชมบรรดาสัตว์เหล่านี้รวมทั้งความสามารถของพวกมัน เพราะนี่ไม่ใช่งานของพวกมัน ความอดทนไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์เท่านั้น แต่เป็นความจริงของชีวิตในฉาก Dr.Dolittle 2 คนกว่า 50 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกสัตว์ ต้องการช่วยคาร์ทำฉากที่มีสัตว์แสดงให้ออกมาดี "ส่วนใหญ่ในงานของเราคือการคอยให้บรรดาสัตว์เหล่านั้นทำตามที่เราฝึก" คาร์กล่าว "และความอดทนก็เป็นสิ่งจำเป็น…เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความตั้งใจสูง"--จบ--
-อน-