กรุงเทพฯ--29 พ.ย.--แสนสิริ
3 บิ๊กแสนสิริพร้อมกลุ่มผู้บริหารผนึกมือแปลงวอร์แรนต์เต็มจำนวน คิดเป็นเกือบ 86% จากวอร์แรนต์ที่มีการแปลงสิทธิทั้งสิ้น 577.23 ล้านหุ้น มูลค่า 1,443.08 ล้านบาทจากความเชื่อมั่นในแผนก้าวล้ำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาทใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลายและแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง แย้มไตรมาส 4/60 แนวโน้มผลงานท็อปฟอร์ม ทั้งยอดขาย-รายได้-กำไรดีกว่าทุกไตรมาส เผยมียอด Secure รายได้ไปแล้วถึงกว่า 90% มั่นใจรายได้ตามเป้าหมาย 34,000 ล้านบาทได้แน่นอน
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดให้ใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) หรือ SIRI-W2 ตั้งแต่วันที่ 3 - 23 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสรุปว่ามีการใช้สิทธิแปลงสภาพตลอดอายุวอร์แรนต์ทั้งสิ้น 577.23 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 1,443.08 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีผู้บริหารของแสนสิริแจ้งความจำนงใช้สิทธิแปลงสภาพถึงเกือบ 86% จากจำนวนดังกล่าว ในราคาการใช้สิทธิที่ 2.50 บาท โดยหลักมาจาก นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ และนายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ ร่วมด้วยกลุ่มผู้บริหารของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยนักลงทุนรายย่อยอีกจำนวน 43 ราย ที่ให้ความเชื่อมั่นใช้สิทธิแปลงวอร์แรนต์ด้วยเช่นกัน
"การใช้สิทธิเต็มจำนวนจากกลุ่มผู้บริหารหลักของแสนสิริในครั้งนี้ มาจากความมั่นใจในแผนการก้าวล้ำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยแผนการลงทุนมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาทใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้งหกจากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ รวมถึงผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องและแนวโน้มที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2560 ซึ่ง
คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีผลงานดีที่สุด ทั้งในด้านยอด Presales และรายได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนของปี รวมถึงบริษัทเชื่อว่าสามารถรักษาระดับกำไรข้างต้นในระดับสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการที่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นจากการล้อกต้นทุนการพัฒนาโครงการกับกลุ่มผู้รับเหมาในแบบล่วงหน้า ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายค่อยๆ ลดลง ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในปี 2561 ที่บริษัทคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 0.5-1%" นายวันจักร์ กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 34,000 ล้านหรือคิดเป็น 85% จากเป้ายอดขาย 40,000 ล้านบาท และรายได้ในรอบ 9 เดือนที่ 23,129 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับ Backlog ที่รอรับรู้ในไตรมาส 4 อีกประมาณ 7,000 ล้านบาท ทำให้บริษัท secure รายได้ไปแล้วถึง 90% ของเป้าหมายรายได้ทั้งปี 34,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายบริษัทยังมียอดทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ที่เริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา วางเป้าหมายการโอนโครงการ 80% มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2560