กรุงเทพฯ--29 พ.ย.--บลจ.กรุงไทย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทมไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-China ) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ คาดว่ายังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกในระยะยาว ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในกองทุนRMF บริษัทจึงเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-China RMF ) ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน -12 ธันวาคม 2560 มูลค่า 1,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท กองทุนมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม หรือตามอัตราส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
กองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) มีวัตถุประสงค์ เพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) และจะลงทุนอย่างน้อย70% ของสินทรัพย์รวมของกองทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจีนหรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนที่จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ โดยกองทุนจะเน้นการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในรูปเงินสกุลฮ่องกงดอลล่าร์ (HKD) และกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ของจีน ( China 's New Economic ) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นในกลุ่มการบริการทางการเงิน โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ พลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มาก ในการวิเคราะห์ และการลงทุนในหุ้นจีน โดยการเลือกหุ้นแบบ Bottom – Up และเป็นกองทุนรวมหลักระดับ 4 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ 31 ตุลาคม 2560) โดยหุ้นที่มีการลงทุนใน 5 อันดับแรกได้แก่ Alibaba Group Holding , Tencent Holding , ICBC , Bank of China,และ Baiduซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน ที่เน้นเศรษฐกิจแบบใหม่ด้วยรูปแบบดิจิตอล (New Economy) มากกว่าภาคอุตสาหกรรมและการผลิต (Old Economy)
สำหรับแนวโน้มการลงทุน จีนเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง และรัฐบาลจีน ยังมุ่งเน้นถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยลดความเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้ประเทศถดถอย การกระจายรายได้สู่ชนบท และการต่อต้านกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลภิษต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม จีนมีแผนการลงทุนระยะยาวในโครงการ Belt and Road ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อเส้นทางการค้า และการคมนาคมกับอีกหลากหลายประเทศทั้งในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้มีการเจริญเติบโตในระยะยาว จีนมีแนวทางที่จะปฏิรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ โดยผลักดันให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ลดการสนับสนุนให้น้อยลง ซึ่งตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจที่จะได้รับการจัดสรรทรัพยาการของประเทศนั้นๆอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปีนี้จีนตั้งเป้า GDP โตประมาณ 6.5 % สูงกว่าสหรัฐที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 2.3 % ยุโรป 1.5 % หรือประเทศไทยที่ 3.5% ตลาดหุ้นจีนยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการคาดการณ์ผลกำไรที่เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ และยังมีปัจจัยสำคัญคือการทบทวนการนำหุ้นจีนจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ซึ่งเป็นตลาดจดทะเบียนหุ้น A-share เข้ารวมในการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Markets Index ในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งหากดัชนี A-Share สามารถเข้ารวมในดัชนี MSCI ได้จะทำให้ตลาดมีเงินทุนไหลเข้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน KT-China ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 4.13% 3 เดือน อยู่ที่ 6.92% และ 6 เดือน อยู่ที่ 17.93 % ส่วนเกณฑ์มาตรฐานAIMC ย้อนหลัง 1 เดือน อยู่ที่ 3.57% 3 เดือน อยู่ที่ 8.94% และ 6 เดือนอยุ่ที่ 20.41 %
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน กองทุนมีความเสี่ยงด้านปัจจัยตลาด ความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร เป็นต้น