กรุงเทพฯ--4 ธ.ค.--ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด
องค์การอนามัยโลก (WHO) และโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันเอดส์โลก เพื่อสร้างความตระหนักต่อการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 35 ล้านคน โดยยังไม่มียารักษา และยังมีคนอีกกว่า 19 ล้านคนทั่วโลกที่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังคงมุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าวิจัยหาวิธีการยับยั้งและป้องกันเชื้อ HIV ซึ่งองค์การสหประชาชาติประกาศว่า จะต้องหยุดยั้งโรคเอดส์ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030
สำหรับในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัส HIV และอยู่ในระบบจำนวน 280,000 ราย จากจำนวนทั้งหมดประมาณ 460,000 ราย และมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างทัศนคติใหม่ในสังคมไม่ให้เกิดการรังเกียจ กีดกัน และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV ดังเช่นที่ผ่านมา
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย APCO หรือ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ติดเชื้อ HIV ควรเริ่มการรักษาทันทีเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่ามีจำนวน CD4 และจำนวนไวรัส HIV เท่าใด เพราะการเพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกัน CD4 สำคัญกว่าการลดลงของจำนวนไวรัส HIV
สอดคล้องกับผลวิจัยของคณะวิจัย APCO ที่พบว่าหากเพิ่มเม็ดเลือดขาว CD4 ให้มีปริมาณมากพอ จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายรอดตาย และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ ทั้งนี้ CD4 สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็วจากการใช้สูตรสารสกัดธรรมชาติ ที่ผสมสารสกัดจากพืชไทย 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด ฝรั่ง งาดำ ถั่วเหลือง และใบบัวบก
ผลการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าสารสกัดจากพืชไทย 5 ชนิด เมื่อนำมาเสริมฤทธิ์กันจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการกระตุ้น CD4 ชนิด Th17 ได้ 5 เท่า, Th1 ได้ 2 เท่า และ Th9 ได้ 2 เท่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวกลุ่มเพชฌฆาต (Cytotoxic T-Cells) ในการกำจัดเชื้อ HIV ทำให้ผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายรายหนึ่งมี CD4 เพิ่มขึ้นถึง 7,433% ภายใน 6 เดือน คือจาก 6 cells / cu.mm. เป็น 452 cell /cu.mm. ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ทั้งนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้ประกาศรับรองให้งานวิจัยดังกล่าวของบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) เป็น "นวัตกรรมของชาติไทย ในการดูแลผู้มีปัญหาการติดเชื้อ" เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558
โดยนวัตกรรมนี้ทำให้ผู้ติดเชื้อหลายพันรายทั้งในและต่างประเทศ สามารถเพิ่มจำนวน CD4 จนถึงระดับที่ทำให้มีคุณภาพชีวิตเช่นเดียวกับคนปกติได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ทั้งในกลุ่มผู้ที่ใช้และไม่ใช้ยาต้านไวรัสอยู่แล้ว ในกลุ่มของผู้ที่ใช้ยาต้านไวรัสอยู่แล้วมีผลข้างเคียงก็สามารถลดผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสได้อย่างดียิ่ง
นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากพืชไทยทั้ง 5 ชนิด มีศักยภาพในการช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งรักษาให้หายได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก สามารถปลอดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ คณะนักวิจัย APCO จึงจัดทำโครงการยืนยันประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในผู้ป่วย (ซึ่งมีอยู่ 9 ล้านคนในประเทศไทย และ 350 ล้านคนทั่วโลก) งานวิจัยนี้ทำร่วมกับคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
โครงการยืนยันประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะให้ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ได้มีโอกาสใช้ผลงานวิจัย APCO โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลาต่อเนื่อง 6 เดือน แล้วประเมินผลเพื่อประกาศประสิทธิภาพให้แพร่หลายต่อไป