กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--Social Change Thailand
องค์กร PI ร่วมกับสถานทูตแคนาดา จัดงาน "Her Life, Her Diary" เปิดตัวไดอารี 20 ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องในวันผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสากล เผยสถิติผู้หญิงถูกฟ้องร้อง ตัวเลขพุ่ง 179 คนหลังรัฐประหาร พบภาคอีสานถูกฟ้องร้องมากสุด รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคใต้และภาคกลาง ด้าน "อังคณา นีละไพจิตร" ห่วง สิทธิเข้าถึงกองทุนยุติธรรม ระบุ พบคำร้องในกสม.มาก แฉนักปกป้องสิทธิหญิง ถูกคุกคามทางเพศ หวังลดทอนศักดิ์ศรี-ดิสเครดิต ขอรัฐ อย่าปกป้องจนท.ที่กระทำผิด ขณะที่เครือข่ายคนรักษ์เมืองเทพา ต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน วอน นายกฯ ฟังความทุกข์ชาวบ้าน ชี้ ไม่สมศักดิ์ศรี นำทหาร-ตำรวจ ปะทะประชาชน
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร องค์กร Protection international ร่วมกับสถานทูตแคนาดาประจำประเทศไทย จัดโครงการCFLI -"Her Life, Her Diary" จัดทำ Side by Side WHRDs 2018 Diary สมุดบันทึกความหวังและความฝันของ 20 ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขึ้น เนื่องในวันที่ 29 พ.ย. ของทุกปีได้ถูกกำหนดให้เป็นวันผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสากล และในปี 2561 จะครบรอบ 20 ปีของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (UN Declaration on Human Rights Defenders) เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงผลงานการต่อสู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยในสมุดบันทึกจะประกอบไปด้วยเรื่องราวจากความเป็นส่วนตัวถึงการเมือง เส้นทางต่อสู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน ความหวังและความฝันที่ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิของผู้หญิง ชุมชน สังคมในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังต้องการให้ตระหนักถึงความท้าทายที่ผู้หญิงในประเทศไทยจะต้องเจอเวลาลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมในสังคมด้วย
น.ส.ปรานม สมวงศ์ องค์กร Protection international กล่าวว่า อยากให้เรื่องราวการต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีคุณค่า มีความหมาย ให้ทุกคนได้เห็นได้ยินได้รับรู้เรื่องราวของพวกเธอ เพื่อที่จะได้เห็นว่าผู้หญิงที่ทำงานทุกวัน ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงสังคม ชุมชน มีความฝัน ความหวังอย่างไรจึงได้จัดทำเป็นไดอารี ที่บันทึกเรื่องราวของนักปกป้องสิทธิ์หญิงเหล่านี้เอาไว้ และอยากให้ทุกคนได้บันทึกเรื่องราวของตัวเองลงในไดอารี่เล่มนี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่ได้บันทึกเอาไว้ วันหนึ่งจะกลายเป็นความทรงจำ และอาจจะมีประโยชน์ต่อสาธารณะได้
น.ส.ปรานม กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิในปีที่ผ่านมา ว่า การคุกคามทางกายภาพ เช่น การสังหาร การบังคับให้สูญหาย ถือว่ายังน้อยกว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบจากคนใกล้ตัวถูกคุกคาม ถูกสังหาร ถูกบังคับให้สูญหาย จนนำไปสู่การต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม เช่นการที่สามีถูกบังคับให้สูญหาย นอกจากนี้ 3-4 ปีที่ผ่านมา หลังการรัฐประหารผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องในประเด็นสาธารณะ ไม่ได้ถูกยอมรับและถูกโจมตี ถูกกลั่นแกล้ง ด้วยการถูกฟ้องคดีความ ให้ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ์เป็นอาชญากร ผู้หญิงหลายคนจึงมี "ชีวิตติดศาล" ซึ่งในหนึ่งคนโดนหลายคดีมากกว่าห้าคดี
"พวกเธอเหล่านี้ ได้รับความเหนื่อยยากมาก เพราะต้องดูแลครอบครัว หาเงินมาใช้ในการประกันตัว การสู้คดี ไหนจะต้องเดินหน้าต่อสู้อีก สิ่งสำคัญ เราต้องให้เวลาที่จะฟังผู้หญิงเหล่านี้ อยากให้สังคม ได้รับรู้การต่อสู้ปกป้องสิทธิ์ของของพวกเธอ"น.ส.ปรานม กล่าว
พร้อมกันนี้ น.ส.ปรานม ยังเปิดเผยสถิติของผู้หญิงที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่พ.ศ. 2541 – พ.ศ. 2557 ซึ่งพบว่ามีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนระดับชุมชน ที่ต่อสู้เรื่องที่ดิน และฐานทรัพยากร และความไม่ชอบธรรมอื่นๆ ถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีจำนวนอย่างน้อย 63 คน แบ่งเป็น ฐานความผิดฐานบุกรุกจำนวน 7 คน ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทจำนวน 30 คน ถูกฟ้องร้องความผิดฐานบุกรุกและความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จำนวน 8 คน ถูกฟ้องร้องให้มีความผิดฐานละเมิด,ขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 18 คน โดยในจำนวนของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกฟ้องร้องทั้งหมดในทุกคดีแบ่งเป็นภาคใต้ 38 คน ภาคอีสาน 24 คน และภาคเหนือ 1 คน
ขณะที่สถานการณ์หลังจากเกิดรัฐประหารตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 จนถึงปัจจุบันสถิติของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนระดับชุมชน ที่ต่อสู้เรื่องที่ดิน และฐานทรัพยากร และความไม่ชอบธรรมอื่นๆ ถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีจำนวนมากถึง 179 คน อันดับหนึ่งคือ ความผิดฐานบุกรุกที่ดินป่าไม้ 82 คน รองลงมา คือ ความผิดตาม พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ และ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นมากถึง 28 คน การฟ้องร้องความผิดฐานละเมิด,ขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทน 17 คน ความผิดฐานหมิ่นประมาท 12 คน ความผิดสร้างสิ่งกีดขวางทางสาธารณะ 12 คน ความผิดฐานขัดคำสั่ง คสช 3/2558 ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คน จำนวน 13 คนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ 8 คน ถูกฟ้องร้องฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น 3 คน ทั้งๆที่พวกแค่ไปยื่นหนังสือและติดตามการประชุมของอบต ความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ จำนวน 2 คน และถูกเชื่อมโยงเกี่ยวกับคดียาเสพติด 2 คน
น.ส.ปรานม กล่าวว่า จากสถิติข้างต้นจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือการฟ้องคดีกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯในช่วงก่อนที่จะมีการรัฐประหาร ในปี พ.ศ. 2557 จะเน้นเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการในแก้ไขปัญหาที่ดิน โดยที่นักปกป้องสิทธิฯหรือผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯได้ร่วมหารือร่วมกับรัฐบาลต่างๆ และสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ลดการจับกุม ลดการถูกดำเนินคดี เพราะหากมีการดำเนินคดีทางคณะกรรมการการแก้ไขปัญหาจะส่งหนังสือเพื่อชะลอให้การแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จก่อน จึงทำให้คดีดังกล่าวลดลง แต่สถิติการฟ้องร้องผู้หญิงนักปกป้องสิทธิกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลังจากที่มีการรัฐประหาร และมีการประกาศคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 ที่เกี่ยวข้องกับการทวงคืนผืนป่าทำให้มีการปราบปรามนักป้องสิทธิผู้หญิงมากกว่าเดิมในเรื่องที่ดินป่าไม้
ทั้งนี้ในช่วงหลังการรัฐประหาร 2557 ข้อหาที่ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิถูกดำเนินคดีมากที่สุด คือความผิดฐานบุกรุก ที่รวมทั้งการบุกรุกป่าไม้ ที่ดิน ที่สาธารณะประโยชน์ และเข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ ความผิดตาม พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ 2558 ความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ตามมาตรา 309 ประมวลกฎหมายอาญา,การฟ้องร้องความผิดฐานละเมิด,ขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อรวมจำนวนสถิติของการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิแล้วจะพบว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิในภาคอีสานจะถูกดำเนินคดีมากที่สุดมากถึง 120 คน รองลงมาคือภาคเหนือจำนวน 36 คน ภาคใต้จำนวน 11 คนและภาคกลางจำนวน 1 คน
สำหรับสถิติที่ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนระดับชุมชน ถูกลอบสังหาร ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ถูกลอบสังหารไปแล้ว 5 คน ประกอบด้วย 1. คุณ ฉวีวรรณ ปึกสูงเนิน เจ้าหน้าที่ธุรการ ประจำองค์การบริหารส่วนตำบล นากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ที่ออกมาเปิดโปงการบริหารงานที่มิชอบและการทุจริตในโครงการก่อสร้างของ อบต.นากลาง อ.สูงเนิน ถูกลอบสังหารไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 2.คุณมณฑา ชูแก้ว สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ถูกลอบสังหารเมื่อปี พ.ศ. 2555 3.คุณปรานี บุญรักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ถูกลอบสังหารเมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยคุณมณฑาและคุณปรานีถูกลอบสังหารจากการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินในชุมชนคลองไทรพัฒนา อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4. คุณพักตร์วิภา เฉลิมกลิ่น รองประธานชุมชนบ้านหัวกระบือ ต.ป่าโมก อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ถูกลอบสังหารจากรณีการออกมาคัดค้านการก่อสร้างท่าเทียบเรือขนทรายในพื้นที่ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง โดยถูกลอบสังหารเมื่อปี พ.ศ. 2547 และ 5.คุณศิริพร เกิดเรือง ภรรยา สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลกรุงชิง นักอนุรักษ์กรุงชิง จ.นครศรีธรรมราช ที่ถูกลอบสังหารไปเมื่อปี พ.ศ. 2557 จากการต่อสู้ในกรณีที่ออกมาต่อต้านเรื่องการก่อสร้างเหมืองแร่ในตำบลกรุงชิง
น.ส.ปรานม กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ของการถูกคุกคาม ส่วนใหญ่ที่ได้รับการแจ้ง จะมีขั้นตอนของการคุกคามต่างๆ ดังนี้ 1.การโทรศัพท์ข่มขู่ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ โดยเฉพาะขู่ถึงครอบครัว 2.การบุกมาหามาหาถึงบ้านหรือการบุกเข้าหาครอบครัวของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิและการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวตลอดเวลาจากหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ ซึ่งก็จะทำให้เพื่อนบ้านและครอบครัวของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิเกิดความตกใจและหวาดกลัว และผู้หญิงถูกมองว่ากระทำผิด 3.หากผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯเป็นผู้ที่มีตำแหน่งทางราชการ ก็จะคอยสอดส่อง และมีการร้องเรียนเรื่องวินัย ว่าใช้เวลาราชการมาทำงานเรื่องการเคลื่อนไหว ใช้ตำแหน่งในการกดดัน 4.มีการดักฟังทางโทรศัพท์ การติดตามความเคลื่อนไหว การตามไปยังสถานที่ต่างๆ 5. ใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องเพื่อยุติการเคลื่อนไหว 6. หากพื้นที่ขัดแย้งมีผลประโยชน์จำนวนมาก นายทุนก็จะเสนอเงินหรือเสนอตำแหน่งในการทำงานให้กับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ และหากมีการปฏิเสธก็จะเริ่มใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหว เมื่อมีการฟ้องร้องก็จะใช้กระบวนการต่อรองเจรจาว่าจะมีการถอนฟ้องคดีหากผู้หญิงนักปกป้องสิทธิทำตามข้อเรียกร้อง 7. เมื่อมีการข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบแล้วไม่ยุติการเคลื่อนไหวของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิได้ก็จะมาสู่กระบวนการคุกคามขั้นตอนสุดท้ายคือการลอบสังหารผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวในเวทีพูดคุยถึงสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิฯของผู้หญิงที่ลุกขึ้นปกป้องสิทธิมนุษยชน ว่า ส่วนตัวในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิ จนกลายมาเป็นนักปกป้องสิทธิฯ ยอมรับว่าช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน และมีภาระหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งการเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อคืนศักดิ์ศรี และยังต้องดูแลครอบครัว ดูแลสภาพจิตใจของลูกๆ ท่ามกลางบรรยากาศของความหวาดกลัว และบรรยากาศของความไม่ปลอดภัย และการคุกคาม ซึ่งตอนนั้นมีคำถามกับตัวเองว่าเราจะผ่านไปได้อย่างไร
"รัฐไม่เคยเข้ามาช่วยอำนายความยุติธรรม เลือดตาแทบกระเด็น ที่จะนำพาครอบครัวให้เดินต่อไปได้ ทุกวันนี้ยังคิดว่าจนเราตายไปแล้วก็ไม่ได้ความเป็นธรรม แต่เราก็ยังมีความหวัง การสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตเราไม่มีวันเป็นแบบเดิม ไม่มีวันที่จะได้ใช้ชีวิตปกติ บางทีต้องไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม เขาก็หนีหน้าเราหมด รู้สึกถูกลดทอนศักดิ์ศรี ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอยากพบ บางทีต้องไปดักรอที่หน้าลิฟท์ ถามตัวเองว่าทำไมเราต้องทำถึงขนาดนี้ ทั้งที่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องอำนวยความยุติธรรมให้"นางอังคณาระบุ
นางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมากสม.ได้รับคำร้องจากนักปกป้องสิทธิจำนวนมาก ในการเข้าถึงกองทุนยุติธรรม โดยเฉพาะนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบางคนอาจมองว่าชาวบ้านในภูมิภาคนี้อาจเป็นคนที่เห็นต่างจากรัฐ ชอบคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ จึงเกิดเป็นความหวาดระแวง และนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหา หรือจับกุมโดยการจับกุมดำเนินคดีชาวบ้านนั้นไม่ใช่แค่เพียงคดีเดียว แต่ชาวบ้านมักถูกจับในหลายข้อหาหลายคดี เมื่อชาวบ้านใช้เงินส่วนตัวประกันตัวเองในคดีที่ 1 ไปแล้ว ถามว่าในคดีที่ 2 ที่ 3 จะนำทรัพย์สินส่วนไหนมาประกันตัวได้อีก ซึ่งการเข้าถึงกองทุนฯนั้นผู้พิจารณาคือระดับจังหวัด แต่ทางจังหวัดจะอ้างว่ากลุ่มคนเหล่านี้กระทำผิดชัดเจน เช่น ผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ โดยที่ไม่พิจารณาว่าที่ชาวบ้านต้องออกมาคัดค้านไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาทรัพยากรให้คนรุ่นต่อๆไป
"พบว่าส่วนมากกกลุ่มทุน หรือ รัฐบาล มักจะฟ้องร้องคนที่ออกมาคัดค้านโครงการ โดยบริษัทมักบอกว่าฟ้องไปก่อน แล้วค่อยไปเจรจาในชั้นศาล แต่เวลามีการเจรจาในชั้นศาล ชาวบ้านมักจะเสียเปรียบ เพราะในการเจรจาในศาลเนื่องจากชาวบ้านไม่รู้กฎหมาย ทำให้เสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง อีกทั้งเมื่อถูกฟ้องจะทำให้ชาวบ้านไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือไม่สามารถพูดถึงปัญหาผลกระทบของโครงการนั้นๆได้อีก" นางอังคณากล่าว "ในความเป็นผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนพวกเธอต้องดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว พร้อมๆกันพวกเธอยังต้องเผชิญกับการคุกคามซ้ำซ้อนด้วยการถูกล่วงละเมิดเพราะความเป็นหญิง"
นางอังคณา ระบุด้วยว่า อยากให้รัฐใส่ใจในเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐต้องไม่ปกป้องเจ้าหน้าที่ที่ทำผิด ขณะที่นางอัศนีย์ รอดผล ตัวแทนชุมชนน้ำแดง สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ กล่าวว่าปี 2559 มีเอกชนเข้ามาอ้างสิทธิและตัดปาล์มในแปลงที่ชาวบ้านชุมชนน้ำแดงพัฒนา ต.คลองน้อย อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ปลูกไว้ในพื้นที่ทิ้งร้าง และดำเนินคดีกับเกษตรกรทั้งทางอาญาและแพ่งหลายคดี หนึ่งในนั้นคือกรณีที่ตำรวจ สภ.ชัยบุรี จับกุมเกษตรกรชุมชนน้ำแดงพัฒนาตามหมายจับ จำนวน 15 คน ทั้งหมดถูกเรียกหลักทรัพย์ในการปล่อยตัวชั่วคราวสูงถึงคนละ 6 แสนบาท
"ตอนนี้เกษตรกรถูกจับกุมในข้อหา ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ใน 15 คน มีผู้หญิงติดไปด้วยอีก 2 คน คนหนึ่งก็มีลูกที่ยังเล็กอยู่ อีกคนหนึ่งก็อายุ60 กว่าแล้ว ตอนนั้นเราไปขอกองทุนในการประกันตัว ที่กองทุนยุติธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ถูกบ่ายบี้ยงมาโดยตลอด เหมือนกับแกล้งกัน ชาวบ้านจึงหยิบยืม-กู้เงิน ญาติพี่น้องเพื่อมาประกันตัว ซึ่งบางคนถูกคุมขังยาวนานถึง 48 วัน เพราะไม่สามารถหาเงินมาประกันตัวได้"
นางสาวชุทิมา ชื่นหัวใจ สมาชิกกลุ่มรักษ์บ้านแหง กล่าวว่า แกนนำกลุ่มถูกนายทหารระดับสูงเชิญไปพบ โดยอ้างว่าจะได้พบกับผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ซึ่งแกนนำก็ไม่ปฏิเสธ เพราะคาดหวังว่าจะให้ข้อมูลข้อเท็จจริงในการให้สัมปทานครั้งนี้ แต่พอไปถึงเจอนายทหารคนหนึ่ง เขาบอกว่าได้รับอำนาจเต็มจากผบ.มทบ.32 ซึ่งจะมาพูดคุยกับเราแทน ทางกลุ่มจึงก็ปฏิเสธไป เพราะเคยพบเจ้าหน้าที่ทหารคนนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ประทับใจ เนื่องจากบอกว่า ที่หมู่บ้านมีแต่ป่าเสื่อมโทรม มีแต่ป่าไผ่ หน่อไม้จะหาที่ไหนกินก็ได้ แต่ถ้ามีเหมืองจะมีการสร้างงานในพื้นที่
"นายทหารคนนั้นเขาไม่อนุญาต สั่งให้สห.ปิดห้องขังพวกเราอยู่ในนั้น และสั่งห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ไม่เช่นนั้นจะยึด จากนั้นเขาก็ให้พวกเรานั่งฟังเขาพูด 4 ชั่วโมง ถามว่าทำไมเราไม่คุยดีๆกับบริษัท อย่าเอาแต่ปิดเหมือง เพราะหาทางออกให้ไม่ได้ นอกจากนี้นายทหารคนดังกล่าว ยังนำรูปถ่ายของเธอและกลุ่มคนรักษ์บ้านแหง มาแสดงพร้อมระบุว่า ทางกลุ่มได้ฝ่าฝืนพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ทั้งที่เราไม่ได้ไปชุมนุม แต่ไปเตรียมเอกสารเรื่องคดีที่ถูกฟ้องร้องในศาล เขาก็ยังมาพูดจากดดันต่างๆนาๆ จนกระทั่งปล่อยตัว"
นางสาวชุทิมา กล่าวว่า ทุกวันนี้สมาชิกกลุ่มบ้านแหงก็ยังคงต่อสู่อยู่ โดยมีความหวัง คือ ไม่ให้มีการทำเหมืองที่นี่ และเพื่อที่วิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่จะได้กลับไปมีความสุข ความสงบเช่นเดิมด้านนางรอกีเย๊าะ สะมะแอ เครือข่ายฅนรักษ์เมืองเทพา จ.สงขลา กล่าวว่า การประกาศตัวที่จะต่อสู้คัดค้าน โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด2,200 เมกะวัตต์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ของตนเอง ทำให้ตกเป็นเป้าของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จนวันหนึ่งปลัดอำเภอเทพาในนามของผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงกับเดินทางไปพบตนที่บ้าน เพื่อสอบถามเหตุผลที่เธอต้องคัดค้านโครงการนี้"โรงไฟฟ้าแห่งนี้ต้องเผาถ่านหินตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้ถ่านหินถึงวันละ 23 ล้านกิโลกรัม และจะปล่อยควันจากการเผาไหม้ผ่านปล่องควันที่สูงกว่า 200เมตร ซึ่งมลพิษเหล่านี้สามารถอยู่ในอากาศได้นานถึง 10 วัน โดยผลกระทบเหล่านี้จะกินพื้นที่ไปถึง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย "นางรอกีเย๊าะกล่าว
นางรอกีเย๊าะ ยังกล่าวถึงเหตุปะทะระหว่างเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน กับฝ่ายความมั่นคง ระหว่างการดักรอยื่นหนังสือคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จ.สงขลา จนทำให้แกนนำถูกจับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหารวม 16 คน รวมถึงเยาวชนหนึ่งคนว่า อยากจะสะท้อนให้ไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าที่ผ่านมานายกฯ ไม่เคยฟังเสียงชาวบ้านเลย โครงการดังกล่าวมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก แต่นายกฯ ไม่เคยรู้ว่าความเดือดร้อนที่พวกเราจะต้องเจอมีอะไรบ้าง
"นายกฯได้โปรดฟังชาวบ้านบ้าง อย่าฟังแต่นายทุน เสียงชาวบ้านคนเดียวนายกฯ ยังต้องฟัง นี่ชาวบ้านเป็นร้อยเป็นพันคนนายกฯยิ่งจะต้องฟัง เหตุการณ์ที่เกิดกับพี่น้องเรา สะเทือนใจมาก ชาวบ้านธรรมดาๆ ถึงกับต้องเอาทหาร ตำรวจ มาเป็นกองร้อย พูดง่ายๆ ไม่สมศักดิ์ศรีนายกฯเลย พวกเราไม่ใช่ฆาตรกร ไม่ใช่ผู้ร้ายข้ามแดน เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่อยากบอกเล่าความทุกข์ยากของเราให้นายกฯฟัง" นางรอกีเย๊าะกล่าวพร้อมยืนยันว่าการเคลื่อนไหวคัดค้านจะมีต่อไปเพราะได้ปฏิญาณในใจแล้วว่าจะเดินหน้าลูกเดียวไม่ว่าจะเกิดอะไรกับตนขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ภายหลังการเปิดตัวได Side by Side WHRDs 2018 Diary สมุดบันทึกความหวังและความฝัน 20 ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิทั้งหมดที่เข้าร่วมงานและองค์กร Protection international ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐมีมาตรการที่ชัดเจนในการคุ้มครอง ปกป้อง ดูแลผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ ซึ่งแถลงการณ์ระบุว่า
1.รัฐต้องยุติวัฒนธรรมทำผิดแล้วลอยนวลพ้นผิด การเลือกปฏิบัติและการใช้หลักนิติธรรมเป็นข้ออ้างในการจัดการกับประชาชน และปฏิเสธไม่ให้ประชาชนเข้าความยุติธรรม รวมถึงต้องมีกระบวนการทบทวนอย่างโปร่งใสในกรณีที่มีการใช้คดีเป็นเครื่องมือในการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
2.รัฐและสาธารณชนต้องยอมรับและตระหนักถึงคุณค่าของบทบาทที่สำคัญของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและต้องมีหลักประกันว่าจะมีการปกป้องคุ้มครองและสนับสนุนอย่างเต็มเพื่อเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
3. รัฐต้องยกเลิกข้อจำกัดต่าง ๆที่เป็นอุปสรรคที่ร้ายแรงต่อการทำงานของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน มาตรา 44, คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และคำสั่งและกฎหมายอื่น ๆ โดยเฉพาะการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะและเสรีภาพในการแสดงออก การจำกัดสิทธิที่สำคัญเหล่านั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดกับสิ่งที่รัฐบอกว่าปรารถนาให้มีส่วนร่วมจากประชาชน
สำหรับงานแถลงข่าวเปิดตัวไดอารี่ Side by Side WHRDs 2018 Diary สมุดบันทึกความหวังและความฝัน 20 ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นอกจากจะมีเวทีพูดคุยถึงสถานการณ์ความและแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิของผู้หญิงที่ลุกขึ้นปกป้องสิทธิมนุษยชนโดย 20 ผู้หญิงที่เล่าเรื่องราวบันทึกข้อมูลในไดอารี่ อาทิ อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ,สมหมาย จันทร์ตาวงศ์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ทำงานเพื่อสิทธิของพนักงานบริการ,ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์,ศรีไพร นนทรี ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง,นุชนารถ แท่นทอง ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค ,อัศนีย์ รอดผล สหพันธ์เกษตรภาคใต้ ,อรนุช ผลภิญโญ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินอีสาน ,นลัทพร ไกรฤกษ์ ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวประชาไท และ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าวคนพิการทางเลือกwww.thisable.me,ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้ว ตลอดทั้งวันยังมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายบันทึกความหวังและความฝันของ 20 ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดย Luke Duggleby ช่างภาพมือรางวัลระดับโลกอีกด้วย