กรุงเทพฯ--13 ธ.ค.--พีอาร์นิวส์บียอนด์
บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายและรับจัดไฟแนนซ์รถแท็กซี่และรถสองแถวประจำทางสาธารณะ มีแผนจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ 167 ล้านหุ้น โดยมี บล.เออีซี เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ด้านผู้บริหาร "นิติพัทญ์ ยงค์สงวนชัย" ระบุ เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปขยายการให้สินเชื่อ-ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ - ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน คาดเข้าจดทะเบียน mai ภายในปี61
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง มีทุนจดทะเบียน 333.50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญ 667 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ทุนชำระแล้ว 250 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 167 ล้านหุ้น หรือ 25.04%ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปี 2561
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างพิจารณาแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) ของบริษัทฯ โดยคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปีหน้า
บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง มีความพร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยการเข้ามาระดมทุนใน mai ครั้งนี้ จะช่วยตอกย้ำความน่าเชื่อถือ และการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท คือ การจำหน่ายและให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยเน้นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถแท็กซี่เป็นหลัก ประกอบกับ การที่บริษัทฯ มีทีมงานบริหารล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์และเข้าใจลักษณะของการประกอบธุรกิจประเภทสินเชื่อ โดยเน้นให้บริการด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ รวมทั้งการที่บริษัทให้บริการอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการบริการในรูปแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า สอดคล้องกับการที่ทีมบริหารเป็นคนในพื้นที่ จึงตั้งสาขาบริเวณสมุทรปราการเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริการที่ประทับใจลูกค้าปัจจุบันทางบริษัทได้ขยายสาขาออกไปยังโซนอื่นเช่น สาขาสุขสวัสดิ์ เป็นต้น
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 สินทรัพย์ของบริษัทประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน เท่ากับ 351.87 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 37.14 ของสินทรัพย์รวม โดยสินทรัพย์รวมของบริษัทตามงบการเงิน ณ สิ้นปี 2557 – 2559 และสิ้นงวด 6 เดือน ปี 2560 เท่ากับ 412.75 ล้านบาท 598.46 ล้านบาท 869.27 ล้านบาท และ 947.51 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเทียบปีต่อปี เท่ากับ ร้อยละ 44.99 และร้อยละ 45.25 และร้อยละ 9.00 ในปี 2558 ปี 2559 และงวด 6 เดือนปี 2560 ตามลำดับ สาเหตุที่สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของพอร์ทสินเชื่อลูกค้าของบริษัทและเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตตามนโยบายการขยายกิจการของบริษัท
นายนิติพัทญ์ ยงค์สงวนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายและรับจัดไฟแนนซ์รถแท็กซี่และรถสองแถวประจำทางสาธารณะ เปิดเผยว่า ธุรกิจหลักของบริษัท คือ การจำหน่ายและให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจะเน้นให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถแท็กซี่เป็นหลัก ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการระดมทุน เพื่อขยายการให้สินเชื่อและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างเงินทุนของบริษัท รวมทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน การขยายสาขา และโอกาสเติบโตของการดำเนินธุรกิจในอนาคตหวังสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ อย่างแข็งแกร่ง
"เราจะเป็นศูนย์รวมการจัดจำหน่ายรถแท็กซี่และการจัดสินเชื่อรถแท็กซี่ รวมถึงการจัดสินเชื่อรถเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่อประเภทอื่น ๆที่มีประสิทธิภาพ โดยการให้บริการในรูปแบบ "One-stop service" ทั้งในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด" นายนิติพัทญ์ กล่าว
บมจ.มิตรสิบ ลิสซิ่ง จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 ทุนจดทะเบียน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) โดยมีวัตถุประสงค์หลักของบริษัท คือ เริ่มดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์พร้อมจัดไฟแนนซ์ ซึ่งต่อมาบริษัทได้เปลี่ยนมาประกอบธุรกิจให้บริการเช่าซื้อรถยนต์โดยมุ่งเน้นรถยนต์รับส่งสาธารณะประเภทแท็กซี่และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และได้ขยายบริการไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจให้บริการเช่าซื้อใหม่ (รีไฟแนนซ์) เป็นต้น โดยมีผู้ก่อตั้งบริษัท คือ กลุ่มยงค์สงวนชัยและเพื่อนนักธุรกิจ ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม 2557 บริษัทจึงได้เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท มิตร 10 ลิสซิ่ง จำกัด เป็น บริษัท มิตรสิบ ลิสซิ่ง จำกัด
บริษัทมีกำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2557-2559 และงวด 6 เดือนปี 2560 เท่ากับจำนวน 12.54 ล้านบาท 15.33 ล้านบาท 62.27 ล้านบาทและ 30.70 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 5.02 ร้อยละ 4.64 ร้อยละ 12.82 และร้อยละ 13.00 ในปี 2557-2559 และงวด 6 เดือนปี 2560 ตามลำดับ
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมีสาขาจำนวน 4 สาขา และมีทุนจดทะเบียน 333.50 ล้านบาท ทุนชำระแล้ว 250.00 ล้านบาท