กรุงเทพฯ--13 ธ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.โกลเบล็ก มองตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันปรับตัวสูงจากการปิดซ่อมบำรุงท่อส่งน้ำมันดิบที่ทะเลเหนือ บวกรัฐบาลจัดแพ็คเกจกระตุ้นราคายาง-ราคาปาล์มน้ำมัน และเร่งเซ็นสัญญาโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง และได้เม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF - RMF หนุนดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,685 -1,730 จุด แนะสะสมหุ้นเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap - FTSE SET Mid Cap และหุ้นโรงไฟฟ้าที่ผ่านคุณสมบัติ SPP Hybrid ประกาศผล 14 ธ.ค. ด้านราคาทองคำ มีโอกาสรีบาวด์ได้ในกรอบจำกัดระหว่าง 1,240-1,260 ดอลลาร์ แนะนำให้ trading
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับสูงจากการปิดซ่อมบำรุงราว 1 สัปดาห์ท่อส่งน้ำมันดิบที่ "North Sea Forties Pipeline System" ซึ่งมีกำลังการผลิตกว่า 4.5 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 40% ของปริมาณการใช้น้ำมันใน UK
รวมถึงที่ประชุมครม.รับทราบแพ็คเกจผลักดันราคายาง-แก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมัน และในสัปดาห์ถัดไปจะมีการเสนอครม.เร่งเซ็นสัญญาโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง 9 สัญญาเพื่อให้เริ่มก่อสร้างได้ทันทีหลังลงนาม และเม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF หนุนดัชนีในช่วงปลายปี
ส่วนปัจจัยที่มีผลลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้มาจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 85% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rates) 0.25% ในการประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปี และคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปีหน้า ประกอบกับใกล้เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ รวมทั้ง Fund Flowผันผวน ในช่วง 1 เดือนย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติ Net Sell ราว 2.2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ วันที่ 14 ธ.ค. กำหนดประชุมธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ และกกพ. ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกในโครงการ SPP Hybrid Firm รวมถึงสหรัฐฯ และอียู มีกำหนดเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้น-ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค. และในวันที่22 ธ.ค. จับตาประเด็นชัตดาวน์สหรัฐฯ
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับสูง รัฐบาลเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่อเนื่อง และเม็ดเงินเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปีช่วยพยุงตลาด โดยมีปัจจัยกดดันจาก Fund Flow ที่ยังผันผวนและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปลายปีนี้และปีหน้า ดังนั้นประเมินว่า SET ในสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,685 -1,730 จุด
ทั้งนี้ แนะนำลงทุน หุ้นโรงไฟฟ้าที่ผ่านคุณสมบัติ SPP Hybrid ประกาศผล 14 ธ.ค. ได้แก่ SSP และ PSTC หากเป็นผู้ชนะประมูลรวมถึงหุ้นที่มีโอกาส Window dressing ได้แก่SCB, KTB, PTTEP นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Large Cap ได้แก่ EA ส่วนดัชนี FTSE SET Mid Capได้แก่ BGRIM, ORI, PRM, RATCH, RS, TOA มีผล 18 ธ.ค. และหุ้นที่มีลุ้นเข้าคำนวณดัชนี SET50 ที่จะประกาศราวกลางธ.ค. ได้แก่ SAWAD, TPIPP, CENTEL
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สัปดาห์นี้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อเป็นหนที่ 3 ในรอบปีนี้อีก 0.25% ซึ่งตลาดคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สหรัฐฯเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ และความกังวลเรื่อง shutdown ที่จะกลับมาอีกครั้งในปลายสัปดาห์หน้า ยังเป็นปัจจัยหนุนให้มีการเข้าถือเงินสกุลดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์สภาพคล่องก่อนปิดสิ้นปี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ในช่วงที่เหลือของปี โดยสัปดาห์นี้ปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของประธาน Fed คนปัจจุบัน และว่าที่ประธาน Fed ที่กำลังจะเข้ารับไม้ต่อในปีหน้า ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ย หรือ เพิ่มเติมแนวนโยบายการเงินอย่างไร
สำหรับมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำมีโอกาสรีบาวด์ได้ในกรอบจำกัดระหว่าง 1,240-1,260 ดอลลาร์ จึงแนะนำให้ trading ในกรอบดังกล่าว โดยถ้าราคาขึ้นเหนือ 1,260 ดอลลาร์ ให้ปรับมาเน้นเก็งกำไรแบบ swing long แต่ถ้าราคาลงต่ำกว่า 1,240 ดอลลาร์ ให้ปรับมา short โดยมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,200 ดอลลาร์