กรุงเทพฯ--21 ธ.ค.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 20 ธ.ค. 2017 เวลา 16.09 น. ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 112.73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 9.8% จากระดับราคาเปิดต้นปีที่ 1,151.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์สู่ระดับ 1,264.38 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดของปีนี้บริเวณ 1,357.54 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 8 กันยายน โดยตลอดทั้งปีราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเกือบ 9% จากความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา การพุ่งขึ้นของสกุลเงินยูโรจากการปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งในคาบสมุทรเกาหลี ตะวันออกกลางและยุโรป อย่างไรก็ตามความคืบหน้าเกี่ยวกับกฎหมายภาษีของสหรัฐฯ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)และความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนทั่วโลกเป็นปัจจัยที่กดดันการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลดลง 200 บาทต่อบาททองคำ หรือ คิดเป็นเกือบ -1% จากราคาเปิดที่ 19,800 บาทต่อบาททองคำสู่ระดับ 19,600 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำในประเทศได้รับแรงกดดันสำคัญจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่นับตั้งแต่ต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่ามาแล้วกว่า 9% จากระดับ 35.80 บาท/ดอลลาร์สู่ระดับ 32.72 บาท/ดอลลาร์
นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในปี 2018 YLG ประเมินว่าราคาทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,200-1,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,500-21,500 บาทต่อบาททองคำ โดยประเมินแนวรับแรกบริเวณ 1,236 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 19,100 บาทต่อบาททองคำ หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับดังกล่าวได้คาดว่าราคาจะค่อยๆขยับทดสอบแนวต้านได้อีกครั้ง ขณะที่แนวต้านอยู่ในโซน 1,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 21,100 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิมของปี 2017 หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่และสามารถทรงตัวเหนือแนวต้านระดับดังกล่าวได้อย่างแข็งแกร่ง ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านในโซน 1,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 21,500 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ตาม หากราคายืนแนวรับแรกบริเวณ 1,236 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไม่ได้ มีโอกาสปรับตัวลงต่อโดยมีแนวรับถัดไปบริเวณ 1,210-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 18,700-18,500 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ที่ต้องติดตามในปี 2018 เป็นปัจจัยที่ต่อเนื่องมาจากปี 2017 โดยมีปัจจัยหนุน อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐ ฯ ความขัดแย้งทางการเมืองหรือGeopolitical ทั่วโลก ส่วนปัจจัยที่อาจกดดันราคาทองคำยังเป็นแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) อีกปัจจัยที่นักลงทุนทองคำจะต้องจับตาเพิ่ม คือ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก หากในปี 2018 ตลาดหุ้นมีการปรับฐานจากความเสี่ยงต่างๆอาจกลับมาหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2018 ได้ ด้านการเติบโตของตลาดบิทคอยน์เป็นอีกข้อสังเกตใหม่ที่อาจกระทบต่อการลงทุนในตลาดทองคำเช่นกัน เพราะการพุ่งขึ้นของบิทคอยน์อาจดึงดูดเม็ดเงินเก็งกำไรออกจากตลาดทองคำ ในทางกลับกันหากเกิดการปรับตัวลงแรงของบิทคอยน์จะส่งผลให้เม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน จึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนทองคำต้องจับตาเพิ่มเติมในปี 2018
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับและรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นและเน้นย้ำว่านักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน มีจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุนและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมติดตามปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนอย่างใกล้ชิด โดยเปิดสถานะซื้อหากราคาอ่อนตัวลงมาในโซน 1,236 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 19,100 บาทต่อบาททองคำ พร้อมลดการลงทุนหากราคาหลุดแนวรับระดับดังกล่าวแล้วถอยจุดเข้าซื้อมายังแนวรับถัดไปที่ 1,210-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 18,700-18,500 บาทต่อบาททองคำ ทั้งนี้อาจพิจารณาแบ่งทองคำออกขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 21,100 บาทต่อบาททองคำ