กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน (เจ้าหน้าที่การตลาด) ของนายศิวกร ตระกูลสม มีผลตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2550 เนื่องจากพบการกระทำการทุจริตยักยอก ฉ้อโกงทรัพย์สินของลูกค้า และไม่ได้ปฏิบัติงานโดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
กรณีนี้ ก.ล.ต. ตรวจพบพฤติกรรมการกระทำผิดต่อผู้ลงทุนหลายรายของนายศิวกร ดังนี้
1. มีการใช้บัญชีลูกค้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่นายศิวกรได้มาโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
2. หลอกลูกค้าให้โอนเงินเข้าบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ แล้วให้บริษัทนำเงินดังกล่าวไปจ่ายชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ที่นายศิวกรสั่งซื้อเองในบัญชีของลูกค้าที่นายศิวกรใช้บัญชีอยู่ และให้บริษัทนำเงินอีกส่วนหนึ่งไปเป็นเงินประกันการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ชื่อลูกค้าบังหน้า เพื่อใช้บัญชีนี้ในการซื้อขายหุ้นที่ได้มาโดยมิชอบ
3. หลอกลูกค้าว่าเงินที่ลูกค้าได้รับโอนจากบริษัท เป็นเงินของลูกค้ารายอื่นที่บริษัทโอนให้ผิดบัญชีและให้ลูกค้าโอนเงินยอดดังกล่าวมาให้ตน ทั้งๆ ที่เงินจำนวนนั้นมาจากการที่นายศิวกรสั่งขายหุ้นในบัญชีของลูกค้าโดยพลการ
4. ปลอมลายมือชื่อลูกค้าเพื่อโอนหุ้นของลูกค้าไปขายในบัญชีของลูกค้าที่นายศิวกรใช้บัญชีอยู่ การกระทำของนายศิวกรข้างต้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ซื่อสัตย์ สุจริต และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ ถือเป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตาม
มาตรฐานการปฏิบัติงาน ตามข้อ 11(1) และ (2) แห่งประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สข.15/2548 เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนและมาตรฐานการปฏิบัติงาน ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2548 และการกระทำดังกล่าว ก.ล.ต. พิจารณา
ว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงจนไม่สมควรให้นายศิวกรเป็นบุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ต่อไปก.ล.ต. จึงเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนของนายศิวกร ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2550 เป็นต้นไป
อนึ่ง ก.ล.ต. ขอเรียนว่า การกระทำทุจริตของผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนที่กระทำได้สำเร็จมักเกิดจากความไว้วางใจในผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนมากเกินไป และความไม่ใส่ใจในการตรวจสอบหลักฐานหรือเอกสารการซื้อขายที่ผู้ลงทุนได้รับจากบริษัทหลักทรัพย์ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือมีสิ่ง
ผิดปกติใด ผู้ลงทุนไม่ควรรั้งรอและไม่ควรสอบถามกับผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน แต่ควรสอบถามจากฝ่ายปฏิบัติการด้านหลักทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดไว้ และในกรณีที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนเพียงพอ ควรติดต่อหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติงาน (compliance unit) ของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทุนเอง