กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 26 ธันวาคม 2560 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,273.20-1,279.19 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 19,850 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 100 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,750 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ17 อยู่ที่ 19,950 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 100 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,850 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 16.04 น. ของวันที่ 26/12/60)
แนวโน้มวันที่ 27 ธันวาคม 2560
บิทคอยน์ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องท่ามกลางภาวะซื้อขายเบาบาง โดยในวันอังคารบิทคอยน์พุ่งขึ้นราว 10% มาอยู่ที่ 15,049 ดอลลาร์ในตลาด Bitstamp ในลักเซมเบิร์ก และดีดตัวขึ้นกว่า 33% แล้วจากระดับต่ำสุดเมื่อวันศุกร์ ที่ระดับ 11,159.93 ดอลลาร์ ทั้งนี้บิทคอยน์ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลพุ่งขึ้น 20 เท่าแล้วตั้งแต่ต้นปี 2560 โดยพุ่งขึ้นจากระดับต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ สู่ระดับสูงสุดที่ 19,666 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ในตลาด Bitstmap ซึ่งการเคลื่อนไหวของบิทคอยน์สร้างความกังวลต่อนักลงทุนในตลาดทองคำเพราะกลัวว่าจะมีเม็ดเงินในตลาดทองคำไหลไปลงทุนยังบิทคอยน์ ขณะที่แนวโน้มการแข่งขันของสถาบันการเงินต่างๆในการเปิด บริการซื้อขายผลิตภันฑ์เงินดิจิตอล ได้เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น โดย Goldman Sachs ได้เปิดเผยว่ามีแผนที่จะเปิดฝ่ายบริการซื้อขายบิทคอย หลังจากที่ CME Group และ CBOE ได้เริ่มเปิดการซื้อขายสัญญาซื้อขายบิทคอยล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามราคาทองคำยังได้รับปัจจัยบวก เมื่อศูนย์การวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Cebr) ประเมินว่า เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มจะก้าวขึ้นมาแซงหน้าอังกฤษและฝรั่งเศสในปี 2561 และจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ทั้งนี้หากเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เพราะอินเดียเป็นผู้ซื้อทองคำเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน นอกจากนี้ Cebr คาดว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะสามารถแซงหน้าสหรัฐ และจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในอีกประมาณ 15 ปี ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้นเห็นได้จากธนาคารกลางจีนได้ระงับการอัดฉีดเงินผ่านการดำเนินงานทางตลาดเงิน เนื่องจากสภาพคล่องในระบบธนาคารเพียงพอ ซึ่งการใช้จ่ายด้านการคลังทำให้เงินฝากการคลังจากธนาคารกลางไหลเข้าสู่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามวายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำหากไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านบริเวณ 1,282 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเกิดแรงขายให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาอีกครั้ง แต่หากราคาสามารถยืนแนวรับบริเวณได้ในโซน 1,264-1,251 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถดีดตัวขึ้นได้
กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจี แนะนำรอจังหวะเข้าซื้อโดยสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้อาจเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณ 1,270-1,264 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำให้รอดูบริเวณโซนแนวรับถัดไปที่ 1,251 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และรอขายทำกำไรบางส่วนบริเวณแนวต้านแรกที่ 1,282 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนที่เหลือให้รอไปปิดสถานะทำกำไรบริเวณแนวต้านถัดไปที่ 1,294 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ซึ่งหากนักลงทุนไม่มีวินัยในการลงทุนที่จะตัดขาดทุน จะทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,264 (19,600บาท) 1,251 (19,400บาท) 1,243 (19,250บาท)
แนวต้าน 1,282 (19,900บาท) 1,294 (20,100บาท) 1,300 (20,200บาท)
GOLD FUTURES (GFZ17)
แนวรับ 1,264 (19,720บาท) 1,251 (19,520บาท) 1,243 (19,390บาท)
แนวต้าน 1,282 (20,010บาท) 1,294 (20,200บาท) 1,300 (20,290บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999