กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--ฟร้อนท์เพจ
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวภายหลังการเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช.ว่า "สนช. เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานวัตกรรมของประเทศ ทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจบนฐานเทคโนโลยี ไอที ความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรม หรือบริการ โดย สนช. มีโปรแกรมสนับสนุนจำนวนมากมาย ครอบคลุมทุกระดับ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบใหม่ และบริษัทนวัตกรรมผ่านโครงการต่างๆ เช่น นวัตกรรมแบบเปิด หรือ คูปองนวัตกรรม ไปจนถึงการลดความเหลื่อมล้ำผ่านบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น โครงการนวัตกรรมเพื่อสังคม เป็นต้น
ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ผมได้พบปะสตาร์ทอัพที่กำลังได้รับการบ่มเพาะ รวมถึงได้พูดคุยกับสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA) เพื่อหาแนวทางในการผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยสามารถยืนหยัดในเวทีการแข่งขันได้ ซึ่งสตาร์ทอัพไทยมีศักยภาพสูง แต่อาจต้องพัฒนาต่อเนื่อง และจะต้องสร้างให้มีระบบนิเวศที่พร้อมมากขึ้น เช่น การพัฒนาโปรแกรมเมอร์ไทยให้มีจำนวนและคุณภาพมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้สตาร์ทอัพด้านไอทีเติบโตและแข่งขันได้ยาก การพัฒนากลไกให้เกิดความร่วมมือระหว่างบริษัทใหญ่กับสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี เพื่อให้เติบโตไปพร้อมกัน และการปลดล็อคกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี ที่ใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อสร้างสังคมแห่งนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผมจึงได้ให้โจทย์ใหญ่กับ สนช.ที่จะต้องเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ จำนวน 5 ข้อ ดังนี้ 1) ส่งเสริมและผลักดันให้ประชาชนมีหลักคิดเชิงนวัตกรรม 2) ใช้นวัตกรรมเป็นตัวผลักดันให้ไปสู่ Thailand 4.0 3) ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายด้านนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้และทำได้จริง โดยให้มองสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มเป้าหมาย ผลักดันยกระดับจากท้องถิ่นสู่ภูมิภาค และจากภูมิภาคสู่ระดับสากล 4) ภาครัฐจะต้องสนับสนุนให้มีสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีที่ใช้นวัตกรรมด้านการเกษตร เน้นตอบโจทย์การยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจฐานรากให้มีจำนวนมากขึ้น 5) สนับสนุนให้มีกลุ่มสตาร์ทอัพระดับประเทศควบคู่ไปกับกลุ่มสตาร์ทอัพระดับโลก ผ่านเครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคของมหาวิทยาลัย ซึ่งมั่นใจได้ว่าประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่ "สังคมแห่งนวัตกรรม" ที่จะมีการพัฒนาต่อยอดไปในทุกมิติ ใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มกับระบบเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม โดยการนำนวัตกรรมไปใช้ในกิจกรรมที่เป็นเศรษฐกิจฐานราก ขยายโอกาสให้คนไทยในทุกระดับ ทั้งชุมชน หมู่บ้าน สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี และกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อทำให้สังคมไทยเติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน"
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า "ในการเดินทางเยี่ยมชม สนช. ของรัฐมนตรีได้ให้แนวทางการดำเนินงานที่สำคัญไว้หลายทาง ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของ สนช.ที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สนช. ได้ มีการขยายขอบเขตงานให้ครอบคลุมการพัฒนา นวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ ที่ตอบสนองต่อบริบทที่สำคัญที่เปลี่ยนแปลงอย่างในปัจจุบัน โดยเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนใน 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม เพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านเทคโนโลยี และการบริหารจัดการด้านนวัตกรรมทั้งในระดับเยาวชน อุดมศึกษา ผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ผู้ประกอบการนวัตกรรมขนาดต่างๆ ผ่านกิจกรรมการฝึกอบรมให้ความรู้ บ่มเพาะ และการสร้างภาวะผู้ประกอบการ 2. การพัฒนาบริษัทนวัตกรรม ด้วยการส่งเสริม สนับสนุน และร่วมรับความเสี่ยงกับผู้ประกอบการนวัตกรรมในการพัฒนานวัตกรรมรูปแบบต่างๆ ผ่านกลไกการสนับสนุนทางการเงิน การให้บริการปรึกษาทางธุรกิจและเทคนิค รวมถึงการขยายผลทางตลาด 3. การลดความเหลื่อมล้ำ โดยอาศัยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการส่งเสริมการกระจายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรมไปสู่ภูมิภาคเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างและการเข้าถึงนวัตกรรมให้เป็นไปอย่างทั่วถึง 4. การสร้างการรับรู้ด้านนวัตกรรม สร้างความตื่นตัวด้านนวัตกรรมและสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประชาสังคม เพื่อสร้างการรับรู้ การยอมรับ และนำนวัตกรรมไปปฏิบัติใช้ ผ่านแคมเปญ INNOVATION THAILAND และ 5. การพัฒนาความรู้และฐานข้อมูล โดยอาศัยการสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินทางวิชาการ เพื่อแสวงหาโจทย์ แนวโน้มและประเด็นการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบความต้องการของประเทศ รวมถึงการสร้างระบบและเครื่องมือการพัฒนาและประเมินผลที่สนับสนุนการดำเนินงานในด้านอื่นๆ ผ่านการพัฒนาสารสนเทศนวัตกรรม และโครงการศูนย์คาดการณ์อนาคต"
"นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 ธุรกิจนวัตกรรมจึงเปรียบเสมือนกลไกการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศเพื่อสร้างโอกาสและความแตกต่างให้เกิดเป็นผลผลิตที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม ที่จะนำพาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม สนช. จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจในกลุ่มผู้ประกอบการ" ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้าย