กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ (Strategic Hospitality Extendable Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust) หรือ เอส เอช รีท (SHREIT) เดินหน้าเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 27 ธ.ค. เป็นวันแรก หลังเสนอขายหน่วยทรัสต์ให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยในราคา 10 บาทต่อหน่วย ระบุเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนไทยที่ต้องการลงทุนในธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอาเซียนและหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าสนใจ จากจุดเด่นของศักยภาพทรัพย์สินที่กระจายลงทุนในโรงแรมที่ดีที่สุด ในการตอบสนองของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจและผู้บริโภคในประเทศ และการบริหารโดยมืออาชีพที่มุ่งแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดให้แก่นักลงทุน มั่นจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในปีแรกประมาณ 7.67.-7.72% ต่อปี
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ SHREIT เปิดเผยว่า หน่วยลงทุนของ SHREIT หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ หลังได้เสนอขายให้กับนักลงทุนที่สนใจในราคาหน่วยละ 10 บาท ซึ่งพบว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความมั่นใจในศักยภาพของสินทรัพย์ทั้ง 3 แห่งที่ SHREIT เข้าลงทุนว่าะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจได้อย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับนโยบายการบริหารกองทรัสต์ที่เป็นอิสระ
"เรามั่นใจว่าหลังจากที่หน่วยลงทุน SHREIT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะด้วยศักยภาพของสินทรัพย์ที่เป็นธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอาเซียน 3 แห่งล้วนเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ ที่กระจายการลงทุนไปในโรงแรมที่มีการบริหารงานโดยมืออาชีพโดยกลุ่ม Accor Hotels และ Frasers Hospitality ประกอบกับการเติบโตของด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว จะช่วยสนับสนุนการโอกาสเติบโตของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไปในอนาคต" นายปธาน กล่าว
นายเจมส์ เทิค เบง ลิม กรรมการบริหาร บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด กล่าวว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า 'สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้' หรือ SHREIT จะเข้าลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์แบบต่ออายุได้เพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม และสิทธิการเช่าในโรงแรมระดับ 3-5 ดาวในต่างประเทศ จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในประเทศอินโดนีเซีย และโรงแรม Capri by Fraser และโรงแรม IBIS Saigon South ในประเทศเวียดนาม โดยมีห้องพักรวมกันทั้งสิ้น 632 ห้อง
ทั้งนี้ โรงแรมทั้ง 3 แห่งที่ SHREIT เข้าลงทุนมีความโดดเด่นของทรัพย์สินที่มีกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการหรือกลุ่มผู้เข้าพักที่แตกต่างกัน โดยในประเทศอินโดนีเซียจะได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งมีศักยภาพและมีอำนาจการใช้จ่ายภายในประเทศสูง ตลอดจนแรงสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้มีความมั่นคงในแง่ของรายได้และกระแสเงินสด ขณะที่ประเทศเวียดนามจะได้รับประโยชน์จากพลวัตทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งดึงดูดนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและลงทุนเป็นจำนวนมาก ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเยือนเวียดนามเพิ่มขึ้นและสนับสนุนการเติบโตที่ดี
นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า รูปแบบการบริหารกองทรัสต์ SHREIT โดยผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ทำให้มีความคล่องตัวในการเข้าลงทุนในทรัพย์สินใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้กองทรัสต์สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ SHREIT เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงแรมที่อยู่ต่างประเทศ เพื่อกระจายควายเสี่ยงจากการลงทุนใน REIT ประเภทโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งลงทุนในทรัพย์สินภายในประเทศเท่านั้น
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า สำหรับสินทรัพย์โรงแรมทั้ง 3 แห่งที่ SHREIT เข้าไปลงทุนนั้น เป็นโรงแรมในต่างประเทศที่มีคุณภาพ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจที่สำคัญและมีอัตราการเติบโตที่สูงจากศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของโรงแรมที่กองทรัสต์เข้าลงทุนและสร้างผลตอบแทนคุ้มค่าให้แก่นักลงทุน โดยเชื่อว่าทรัพย์สินดังกล่าวจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในปีแรกประมาณ 7.67 – 7.72% ต่อปี