กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--ASV Inter Group
ตลาดรวมพืชผลหัวอิฐ ตลาดกลางผักและผลไม้จังหวัดนครศรีธรรมราช ชูเป็นแหล่งส่งออกสินค้าเครื่องเทศไปสู่ประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย โวเป็นศูนย์กระจายสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ พร้อมเดินหน้ามาตรฐานกรมการค้าภายใน ดำเนินการคัดสินค้าคุณภาพพร้อมส่งเสริมแปรรูปสินค้าเกษตรเพิ่มมูลค่า ฟุ้งสร้างเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตลาดกลางคือโครงการที่ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ให้การส่งเสริมและสนับสนุนในการเป็นแหล่งจำหน่ายและกระจายสินค้าเกษตรอย่างมีระบบ โดยมุ่งให้เป็นสถานที่ที่รองรับการซื้อขายในปริมาณมากผ่านรูปแบบการค้าส่ง ซึ่งทางกรมการค้าภายในได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการค้ากับทางตลาดกลางทั้ง 80 แห่ง ในด้านคุณภาพสินค้าที่ต้องได้มาตรฐานตามที่กรมการค้าภายในกำหนด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้เกิดการซื้อขายที่เป็นธรรม โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
"โดยทางกรมการค้าภายได้มุ่งมั่นให้เกิดการซื้อขายที่เป็นธรรมที่สุด โดยเราให้การส่งเสริมด้านตาชั่งกลางเพื่อให้ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบสินค้าได้ นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างกฎระเบียบที่ชัดเจน อาทิ ต้องมีเครื่องชั่งกลาง เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบสินค้าได้ก่อนการตัดสินใจซื้อ รวมไปถึงการจัดอบรมให้กับผู้ประกอบการหรือเกษตรกรเพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคและทิศทางของตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้าให้กับผู้ประกอบการให้ดียิ่งขึ้น ผู้บริโภคเองจะได้มีความมั่นใจว่าสินค้าที่มาจากตลาดกลางเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน และกลับมาซื้อสินค้าที่ตลาดกลางมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้นตามไปด้วย" อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าว
ด้านนายนรรถสรรพ เล็กสู่ ผู้บริหารตลาดหัวอิฐ กล่าวว่า ตลาดหัวอิฐซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดกลางสินค้าเกษตรประเภทตลาดผักและผลไม้ ในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ถือเป็นตลาดที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าทางการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ โดยมีพื้นที่กว่า 100 ไร่ ซึ่ง 80 ไร่เป็นพื้นที่ค้าขาย ส่วนที่เหลือจะถูกพัฒนาเป็นพื้นที่อำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ตามมาตรฐานการเข้าร่วมเป็นตลาดกลางสินค้าเกษตร ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขณะที่สินค้าส่วนใหญ่ในตลาดจะเป็นสินค้าเกษตรประเภทผักเป็นหลัก ซึ่งรับมาจากเกษตรกรทางภาคใต้กว่า 70%
โดยมีผู้ค้าหรือเกษตรกรที่มาทำการค้ากับตลาดสูงถึง 800-900 ราย และทุกวันจะมีผู้มาซื้อสินค้าในตลาดกว่า 400-500 รายต่อวัน ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงกว่า 500 ตันต่อวันเลยทีเดียว นอกจากนี้ทางตลาดกลางหัวอิฐยังได้มีการส่งออกสินค้าเกษตรให้กับประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์สูงถึง 300-400 ตัน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเทศเป็นหลัก อาทิ พริก พริกไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชี เป็นต้น จากการดำเนินงานตามมาตรฐานของตลาดกลางที่เน้นเรื่องคุณภาพสินค้า และราคาที่เป็นธรรมนั้น ทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นในสินค้าของตลาดกลางหัวอิฐ ขณะเดียวกันทางกรมการค้าภายในยังให้การส่งเสริมและดูแลเรื่องต่างๆ อาทิ การส่งเสริมให้มีเครื่องชั่งกลางเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค ทำให้สินค้าเป็นที่ยอมรับและกลายเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในวงกว้าง ส่งผลให้ปัจจุบันตลาดกลางหัวอิฐมีมูลค่าการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว
"ทางตลาดกลางหัวอิฐ ยังได้มีการส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และไม่ต้องอิงอยู่กับฤดูกาลมากเกินไป โดยได้เซ็น MOU กับทางมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อทำงานวิจัยและพัฒนาสินค้าเกษตร ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นผ่านรูปแบบการแปรรูปต่างๆ และยังมีอีกหลายมหาวิทยาลัยที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการฯนี้ โดยทางตลาดจะทำหน้าที่ประสานงาน และควบคุมมาตรฐานสินค้าภายในอย่างเข้มงวด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยเกษตรกรหรือผู้ค้าในตลาดกลางหัวอิฐให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น และสินค้าเก็บได้นานขึ้น เป็นการลดการสูญเสีย พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้านั่นเอง" นายนรรถสรรพ กล่าว
ทั้งนี้ ยังมีตลาดกลางแม่พยอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดกลาง ภายใต้การส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนสูงถึง 100 ตันต่อวัน และยังเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ทำการค้ากับประเทศมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเป็นประเภทผักและผลไม้เป็นหลักอีกด้วย
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตลาดกลางสินค้าเกษตร ในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ หรือจะซื้อหาค้าขายสินค้าเกษตรคุณภาพดีในตลาดกลางสินค้าเกษตรดังกล่าวได้ทั่วทุกแห่งของประเทศได้ง่ายๆที่เว็บไซต์ "ตลาดกลางออนไลน์" http://centermarket.dit.go.th