รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ

ข่าวทั่วไป Wednesday January 3, 2018 11:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ม.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจำเดือนธันวาคม 2560 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้ 1. จำนวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย 1.1 จำนวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ Web Portal สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้เปิดตัวเว็บไซต์ http://startupthailand.org อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 ซึ่งปัจจุบันมีกิจการ Startup เข้าลงทะเบียนแล้วจำนวน 703 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2560) 1.2 จำนวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 637) พ.ศ. 2560 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี โดย ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2560 มี SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจำนวน 141 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจำนวน 49 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจำนวน 32 ราย SMEs/New Startup ที่สนใจยื่นเรื่องต่อ สวทช. เพื่อพิจารณารับรองเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ลงทุน สวทช. อาคารส่วนงานกลาง ชั้น 3 ห้อง 304-2 เลขที่ 111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 หรือทางโทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1327, 1340-1345, 1359 1.3 จำนวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุน SMEs ระยะเริ่มต้น (Startup) ผ่านการร่วมลงทุน โดยให้ธนาคารออมสิน ร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนแห่งละ 2,000 ล้านบาท รวมจำนวน 6,000 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนกับ Startup ที่มีศักยภาพสูง หรือมีโอกาสในการเติบโต หรืออยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งธนาคารทั้ง 3 แห่งได้มีการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน และได้อนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 35 ราย วงเงินรวม 758 ล้านบาท โดยมี Startup 9 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 196 ล้านบาท 2. จำนวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย 2.1 จำนวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2560 มีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไวต์ http://startupthailand.org แล้วจำนวน 69 ราย 2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ซึ่ง ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2560 มีผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 27 ราย ทั้งนี้ บริษัทซึ่งประกอบกิจการเงินร่วมลงทุนที่สนใจจดแจ้งกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด สามารถติดต่อขอรับรายละเอียดการจดแจ้งได้ที่ สำนักงาน ก.ล.ต. เลขที่ 333/3 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทรศัพท์ 1207 หรือ 0 2695 9999 ความเคลื่อนไหวที่สำคัญในเดือนธันวาคม 2560 1. การขยายระยะเวลาการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อส่งเสริม SMEs/New Startup คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 เห็นชอบการขยายระยะเวลาการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อส่งเสริม SMEs/New Startup ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องมีคุณสมบัติและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 637) พ.ศ. 2560 โดยสรุปดังนี้ 1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 2) มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท 3) มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของกิจการที่ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายตามหลักเกณฑ์ที่ สวทช. กำหนดและได้ให้การรับรอง หรือรายได้เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดในรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น 2. โครงการจัดตั้ง Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินโครงการ Startup เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้เด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษารู้จัก เข้าใจ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างผู้ประกอบการ ตามดำริของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยผลักดันโครงการดังกล่าวผ่านคณะผู้บริหารการคลังประจำจังหวัดให้เกิด Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา ซึ่งปัจจุบัน (สถานะ ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2560) มีสถาบันการศึกษาตอบรับเข้าร่วมแล้ว จำนวน 109 สถาบัน ใน 77 จังหวัด ในจำนวนนี้มีสถาบันที่ได้รับแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภาคเอกชนในจังหวัดแล้ว 77 สถาบัน ใน 52 จังหวัด และเริ่มดำเนินกิจกรรมแล้ว 57 สถาบันใน 40 จังหวัด นอกจากนี้ มีแผนการดำเนินโครงการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่รับผิดชอบ Startup Club เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้สามารถถ่ายทอดกระบวนการและแนวความคิดด้านการประกอบการให้แก่เด็กนักเรียนได้ โดยจะจัดเป็นกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ สำหรับครูและบุคลากรที่รับผิดชอบ Startup Club ตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงการจัดทำหนังสือหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษา 3. โครงการ Startup Voucher ประจำปี 2560 สวทช. ได้ดำเนินโครงการ Startup Voucher เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และส่งเสริมความเข้มแข็งให้วิสาหกิจนวัตกรรมในการต่อยอดธุรกิจ โดยสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจการสนับสนุน Startup ในรูปแบบเงินทุนให้เปล่า (Grant) เป็นปีที่ 2 (ระยะเวลาโครงการ: พฤษภาคม – ธันวาคม ๒๕๖๐) โดยมีเป้าหมายสนับสนุน Startup จำนวน 80 ราย รายละไม่เกิน 800,000 บาท ซึ่งโครงการปีที่ 2 นี้ มีผู้สนใจสมัครเข้ารับเงินทุนสนับสนุนจำนวน 204 ราย ผ่านการคัดเลือกจำนวน 82 ราย คิดเป็นเงินสนับสนุนประมาณ 60 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่า Startup ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจะสามารถสร้างรายได้รวมได้ไม่น้อยกว่า 80 ล้านบาท ส่วนนโยบายระบบการลงทุน สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3638, 3650, 3654

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ