กรุงเทพฯ--3 ม.ค.--กระทรวงวัฒนธรรม
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดและปาฐกถางานสัมมนานานาชาติ "การสร้างเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง" เมื่อเร็วๆนี้ ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ ว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ถือเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน ทำให้เกิดการพัฒนาการทางวัฒนธรรมของมนุษย์โดยมีพื้นที่อารยธรรมโบราณ 2 แหล่งใหญ่ของโลกคือ จีนและอินเดียมาบรรจบกัน ก่อให้เกิดเป็นศิลปวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์และหลากหลายโดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลและมีการพัฒนามาจนก่อให้เกิดวัฒนธรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม ภาษา วัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมและประเพณีในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงมีความคล้ายกัน อาทิ การจัดสร้างพระเมรุมาศ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง เป็นต้น
นายวีระกล่าวอีกว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เด่นชัดที่สุดคือ สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ วิจิตรบรรจงและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งหลายแห่งได้รับการขึ้นบัญชีมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) อาทิ นครวัด บุโรพุทโธ พระราชวังเว้ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร เป็นต้น ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้นอกจากจะมีคุณค่าในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันทรงคุณค่าที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของผู้คนในพื้นที่
นายวีระ กล่าวด้วยว่า การอนุรักษ์โบราณสถานที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงในท่ามกลางสภาพการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปที่มีทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากการกระทำของมนุษย์ หากจะอาศัยศักยภาพของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เพียงลำพังคงไม่เพียงพออีกต่อไปในการอนุรักษ์ คุ้มครองและบริหารจัดการโบราณสถานอันทรงคุณค่าเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น เครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และความร่วมมือของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานอนุรักษ์ทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ตาม การอนุรักษ์จะต้องอาศัยความร่วมมือจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ เป็นต้นรวมทั้งให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ซึ่งนอกจากการอนุรักษ์โบราณสถานให้คงความโดดเด่นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้จากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกดัวย อาทิ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวารที่มีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติมาเที่ยวปีละ 1.3 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยปีละ 40 ล้านบาท และที่สำคัญจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศให้แก่ประชาชนและชาวต่างชาติโดยผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อภาพยนตร์ที่ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ อาทิ ภาพยนตร์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ภูเขาไฟระเบิดถล่มเมืองบอมเบย์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นต้น