กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--IR network
ผู้ถือหุ้น บมจ. ช ทวี หรือ CHO อนุมัติเพิ่มทุน 658,176,708 หุ้น โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เพิ่มทุนแบบกำหนดวัตถุประสงค์ Specific Objective ซึ่งจะขายให้กับ "Macquarie Bank Limited" ไม่เกิน 185,000,000 หุ้น และแบบ General Mandate ซึ่งจะขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และบุคคลในวงจำกัด (PP) บิ๊กบอส "สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย"เผยเตรียมพร้อมรองรับแผนขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิตตัวถังและติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งเป็นผู้ผสานเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบราง และโลจิสติกส์เข้ากับการจัดการอย่างมืออาชีพ เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา มีมติพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 164,544,177.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 295,735,443.25 บาท เป็น 460,279,620.25 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 658,176,708 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท พร้อมทั้งพิจารณาอนุมัติแก้ไขข้อ 4 ของหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน
นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบกำหนดวัตถุประสงค์ (Specific Objective) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ให้กับ Macquarie Bank Limited จำนวนไม่เกิน 185,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
และมีอนุมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 354,882,531 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ซึ่งไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ในแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 118,294,177 หุ้น ซึ่งไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ในแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)
"บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนมาใช้สำหรับหมุนเวียนภายในกิจการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและรองรับการขยายธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมทั้งเสริมสร้างให้บริษัทฯ มีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรองรับงานโครงการอื่นๆ ทั้งที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน และที่คาดว่าจะประมูลได้ เพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนในตลาดเงิน ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน และสามารถลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัทฯได้" นายสุรเดช กล่าวในที่สุด