กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการดำเนินงานปี 2560 สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 196,817 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 18,593 ล้านบาท หรือ 10.43% ดันสินเชื่อคงค้างรวมแตะ 1 ล้านล้านบาทครั้งแรก พร้อมลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL เหลือเพียง 4.21% ของยอดสินเชื่อคงค้าง ลดลง 0.85% พร้อมประกาศแผนปี 2561 จับมือพันธมิตรลุยสินเชื่อบ้านผู้มีรายได้น้อย ขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม ยกระดับบริการสู่ Digital Services เต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้า 6 โครงการสำคัญ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้องค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาระบบงานหลัก (CBS) 2.Payment Gateway เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน Digital Platform 3.Big Data Management ศึกษาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้าจากฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กร 4.Mobile Application ครอบคลุมบริการหลักของธนาคารครบวงจรใน Application เดียว 5.พัฒนาเครื่องมือ ในการบริหารจัดการความเสี่ยง และป้องกันภัยคุกคามทาง Cyber และ 6.G H Bank Lottery เพิ่มช่องทาง การระดมเงินฝากระยะยาว และเป็นทางเลือกในการออมให้กับประชาชน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2560 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2559 ว่า ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 196,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.06% คิดเป็น 160,305 บัญชี สูงกว่าเป้าหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 178,224 ล้านบาท จำนวน 18,593 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,023,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.24% สินทรัพย์รวม 1,062,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.65% เงินฝากรวม 858,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.90% มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 43,104 ล้านบาท คิดเป็น 4.21% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 0.85% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อรักษาบ้านให้คนไทย กำไรสุทธิ 11,775 ล้านบาท เพื่อให้ผ่าน KPI ตามนโยบายกระทรวงการคลัง ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งที่ 14.88% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
"ตลอดปี 2560 ธนาคารสามารถดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ 3 ภารกิจหลัก 1)นวัตกรรมนำองค์กร พัฒนาคน พัฒนาระบบเทคโนโลยีด้วยแผน Transformation to Digital Services เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน 2) สินเชื่อคงค้างล้านล้านบาท 3) บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยลด NPL ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่สูงกว่าเป้าหมายถึง 18,593 ล้านบาท คิดเป็น 10.43% ของเป้าหมาย 178,224 ล้านบาท ทำให้สินเชื่อคงค้างเกิน 1 ล้านล้านบาทได้เป็นครั้งแรก จากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ประมาณ 38% ของเป้าหมายเท่านั้น ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงนโยบายการดำเนินงาน ธอส.ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการทำกำไรสูงสุด แต่นำความสามารถในการ ทำกำไรไปจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสุดในตลาด เพื่อทำให้คนไทยมีบ้านได้มากที่สุด ทำให้สินเชื่อ Home for All ผลิตภัณฑ์เดียวตอบโจทย์ได้อย่างดี สามารถปล่อยสินเชื่อได้กว่า 100,000 ล้านบาท และโครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก มีลูกค้าใช้บริการสินเชื่อกว่า 32,000 ล้านบาท" นายฉัตรชัยกล่าว
สำหรับแผน Transformation to Digital Services ธนาคารได้นำ Digital Technology มาปรับใช้ทุกส่วนของธุรกิจเริ่มจากการสร้าง Digital Culture / Digital Literacy ให้คนในองค์กรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ยกระดับการให้บริการโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนเริ่มจากการจัดทำโครงการ Payment Gateway เฟสแรก ด้วยการนำเครื่องรับชำระหนี้เงินกู้อิเล็กทรอนิกส์ หรือ LRM (Loan Repayment Machine) จำนวน 90 เครื่อง กระจายให้บริการตามสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้าในการชำระหนี้เงินกู้ได้ทุกที่ทุกเวลา จัดทำ Application : GHB Smart Receipt บริการใบเสร็จรับชำระหนี้เงินกู้แบบอิเล็กทรอนิกส์ Application : GHB Smart Booth ให้บริการลูกค้าสามารถดูโปรโมชั่นพิเศษ และจองสิทธิ์ภายในงานมหกรรมต่างๆ
นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนงานปี 2561 ว่า ธอส.กำหนดเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ 189,000 ล้านบาท โต 6% จากเป้าสินเชื่อปี 2560 ที่กำหนดไว้ 178,224 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าตามพันธกิจทำให้คนไทยมีบ้าน จับมือพันธมิตรสร้างโอกาสให้คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามนโยบายรัฐบาล ควบคู่กับการยกระดับการให้บริการสู่ Digital Services อย่างเต็มรูปแบบ นำเทคโนโลยีมาปฏิรูปทุกกระบวนการทำงานภายในองค์กร บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ผลประโยชน์กลับคืนสู่ประชาชนในรูปแบบของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ เพื่อให้ลูกค้าประชาชนได้ใช้บริการที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ได้อย่างเท่าเทียมทุกระดับตอบโจทย์ยุค 4.0 โดยมี 6 โครงการสำคัญเป็นตัวขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และผลักดันให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับการมีบ้าน ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาระบบงานหลัก (CBS) มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2562 เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและบริการรูปแบบใหม่ 2.Payment Gateway เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน Digital Platform และพัฒนาระบบการชำระเงินแบบ Non Cash Payment หรือการชำระเงินโดยไม่ต้องใช้เงินสด 3.Big Data Management ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการของลูกค้าจากฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ และพัฒนากระบวนการทำงาน 4.Mobile Application ครอบคลุมบริการหลักของธนาคารครบวงจรใน Application เดียวทั้งการยื่นขอสินเชื่อ, Pre-Approve, ติดตามสถานะยื่นกู้, นัดเซ็นสัญญา, นัดทำนิติกรรมจำนอง, บริการด้านเงินฝาก(ฝาก-ถอน-โอน), ชำระหนี้เงินกู้ และชำระค่าสาธารณูปโภค 5. พัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการ ความเสี่ยง และป้องกันภัยคุกคามทาง Cyber เพื่อให้บริการของธนาคารมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และ 6.G H Bank Lottery เพิ่มช่องทางการระดมเงินฝากระยะยาว และเป็นทางเลือกในการออมให้กับประชาชนเพื่อช่วยทำให้โครงสร้างเงินฝากของธนาคารปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อซึ่งธนาคารจะใช้จากฐานข้อมูล Big Data เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินและมีบ้านเป็นของตนเองได้ นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการสินเชื่อบ้านสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มบุคลากรภาครัฐ ภายใต้กรอบวงเงิน 60,000 ล้านบาท อาทิ โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสนับสนุนประชาชนผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งที่ประกอบอาชีพประจำ และอาชีพอิสระ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.75% ต่อปี นาน 4 ปีแรก โครงการสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ บุคลากรภาครัฐ สำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ราชการ อาทิ ข้าราชการ พนักงานราชการพนักงานมหาวิทยาลัย และพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัตราดอกเบี้ย MRR-3.75% ต่อปี หรือปัจจุบันเท่ากับ 3.00% ต่อปีนาน 4 ปีแรก เริ่ม 15 มกราคมนี้ รวมถึงการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล "โครงการบ้าน คนไทยประชารัฐ" เฟส 2 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อเร็วๆ นี้ โดย ธอส.พร้อมให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำทั้งในรูปแบบเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและสำหรับลูกค้ารายย่อย