กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--สสว.
เพิ่มตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติช่วยเสริมข้อมูล เพิ่มอำนาจบอร์ดส่งเสริมฯ เป็นหน่วยงานหลักเสนอแนะต่อครม. จัดทำงบประมาณ SME บูรณาการร่วมหน่วยงานรัฐ หวังเป็นแนวทางเดียวกันและเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนา SME แกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มหน้าที่ "สสว." ประสานงานจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะความรู้และเทคโนโลยี
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ร่วมจัดงานสัมมนาหัวข้อ "รับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...." เพื่อปรับปรุงกฎหมาย สสว.
ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ดียิ่งขึ้น จึงได้เชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ SME เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นร่างกฎหมายดังกล่าว
สาระสำคัญการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ฉบับนี้ใน 4 ประเด็นหลัก โดยประเด็นแรก เพิ่มหลักเกณฑ์เรื่อง "รายได้" กำหนดนิยามลักษณะของ SME สอดคล้องกับการเจริญเติบโตและลักษณะของการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ประเด็นที่สอง ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดส่งเสริม) และคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดบริหาร) ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่มีภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนกิจการของ SME ไทย รวมถึงเป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องกับกิจการ สสว. โดยตรง
ทั้งนี้ บอร์ดส่งเสริมฯ มีการแก้ไขโครงสร้างเพิ่มเติมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยให้ตำแหน่ง "รองประธาน" มาจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีมอบหมาย แทนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงเพิ่มตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และประธานสมาคมธนาคารไทยเป็นกรรมการภาคเอกชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 10 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีจากกลุ่มคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้าน SME
สำหรับ บอร์ดบริหารฯ กำหนดให้ตำแหน่งประธานมาจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับ SME จากเดิมเป็นตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเพิ่มกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดีกรมพัฒนาการค้า อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ประเด็นที่สาม เพิ่มอำนาจหน้าที่ของบอร์ดส่งเสริมเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SME "จัดทำงบประมาณด้าน SME โดยบูรณาการความร่วมมือกัน" เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน และบอร์ดส่งเสริมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานร่วมด้วย เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเด็นที่สี่ เพิ่มวัตถุประสงค์หรือหน้าที่ของ สสว. ในการ "ประสานงาน" กับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน หรือสถาบันการศึกษาทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อให้มีการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ SME ช่วยในการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านต่างๆ ให้ SME มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
"ปัจจุบันผู้ประกอบการ SME ไทยมีจำนวน 3 ล้านราย คิดเป็น 99.7%ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งประเทศ และกลุ่ม SME มีการจ้างงานเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจเกือบ 12 ล้านราย คิดเป็น 78.5%ของการจ้างงานทั้งประเทศ ประกอบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของเอสเอ็มอี (GDP SME) ขยับเป็น 42.6%ของ GDP ประเทศ คิดเป็นมูลค่า 1.62 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ SME ต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การปรับปรุงกฎหมายมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือ SME ถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก โดยผ่านกลไกของภาครัฐ ซึ่งบอร์ดทั้งสองคณะจะมีโครงสร้างใหม่ที่มีหน่วยงานต่างๆ เกี่ยวข้อง SME เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น อาทิ
การเพิ่มตำแหน่งผู้ว่าการธปท. มองว่าเป็นองค์กรบทบาทสำคัญพิจารณาข้อมูลภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน การคลังของประเทศ จึงช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมมากขึ้น นอกจากนี้ เพิ่มอำนาจให้บอร์ด สสว. เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐจัดทำงบประมาณด้าน SME บูรณาการร่วมกันให้ไปในทิศทางเดียว เพื่อช่วยกันขับเคลื่อน SME ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับ การเพิ่มหน้าที่ สสว. ให้ประสานงานกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง SME ไทยควบคู่ไปด้วย" ผอ.สสว. กล่าว