กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
วันที่ 8 มกราคม 2561 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าพบหารือ นายหวัง เสี่ยวเฟิง รองประธานสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน (China National Tourism Administration หรือ CNTA) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปผลการหารือร่วมกันใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง 2) การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว 3) การดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว
การกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ตั้งเป้าระยะ 3 ปี เพิ่มนักท่องเที่ยวจีนเป็น 15 ล้านคน ภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) พร้อมเสนอ 6 เมืองรอง ที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงราย พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และ นครศรีธรรมราช ซึ่งฝ่ายจีนยินดีให้ความร่วมมือ ส่งนักท่องเที่ยวจีนสู่เมืองรองของไทยอย่างเต็มที่ หากมีระบบคมนาคมขนส่งที่ปลอดภัย บริการได้มาตรฐาน และโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อม
การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว การเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยว ยังมีข้อจำกัดซึ่งเป็นคอขวดอยู่หลายจุด โดยเฉพาะในกระบวนการเข้าประเทศ ซึ่งภายหลังจากการหารือกับ นายพิริยะ เข็มพล เอกอัครราชทูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่าปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั้ง 10 แห่ง ได้ตรวจลงตราให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนเฉลี่ยวันละ 35,000 ราย ซึ่งเฉพาะสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง มีจำนวนผู้ตรวจลงตรามากที่สุด เฉลี่ยวันละ 9,000 – 12,000 ราย และสามารถรองรับได้ถึงวันละ 20,000 ราย ใช้เวลาพิจารณา 3 วันทำการ โดยไม่มีการจำกัดโควต้า หรือใช้เวลาพิจารณาเกินกว่า 3 วัน ดังที่บริษัททัวร์บางรายพยามให้ข่าว เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม ในขณะที่ การขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) เริ่มใช้เวลานานขึ้น แม้ว่าจะมีการขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น 2,000 บาท แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เคาเตอร์ให้บริการมีจำนวนเท่าเดิม ส่งผลให้คิวขอรับการตรวจลงตราหนาแน่นและล่าช้า จึงเห็นว่า ควรมีการนำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยแบ่งเบาในขั้นตอนการกลั่นกรองและอนุมัติการเข้า- ออก ประเทศของนักท่องเที่ยว โดยเสนอแนวทางการใช้ระบบ Quick Response หรือ QR Code มาช่วยยกระดับการให้บริการและการบริหารจัดการ ตลอดจนการคัดกรองนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศต้นทางอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาทัวร์ผิดกฎหมาย (ทัวร์ศูนย์เหรียญ) ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการปรับปรุง ระเบียบขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความคล่องตัวในกระบวนการตรวจลงตรา ซึ่งจะได้มีการศึกษาในรายละเอียด และแนวทางการดำเนินการต่อไป
การดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ฝ่ายจีนพอใจที่ไทยได้มีมาตรการดูแล รักษาสิทธิ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่าจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถในการสื่อสาร การพัฒนาทักษะภาษาจีนให้กับตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้สามารถประสานงาน ดูแลนักท่องเที่ยวได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งฝ่ายจีนยินดีให้การสนับสนุนการฝึกอบรมภาษาจีนให้กับตำรวจท่องเที่ยวและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้สามารถดูแล รักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยพร้อมให้ตำรวจท่องเที่ยวของไทยเข้ารับการอบรมในเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกันว่าควรจัดให้มีระบบประกันภัยภาคบังคับให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวด้วยตนเอง (FIT) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะรับไปดำเนินการต่อไป
ในส่วนของความร่วมมือในการปราบปรามทัวร์ผิดกฎหมาย จะได้มีแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ผ่านช่องทาง Hotline ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของทัวร์ผิดกฎหมาย และเรื่องร้องเรียนระหว่างกรมการท่องเที่ยวของจีน และกรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเดินหน้าบูรณาการภาคส่วนต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนแนวทางดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป