กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--มาสด้า เซลส์
บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เผยความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจปี 2560 ที่ผ่านมา มั่นใจปี 2561 ตลาดรถยนต์กลับมาคึกคัก เนื่องจากปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งนี้เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีก 4 รุ่น พร้อมสีใหม่โดนใจ Soul Red Crystal ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากการเปิดตัว ALL-NEW MAZDA CX-5 สำหรับรถมาสด้า2 และมาสด้า3 พร้อมใส่เทคโนโลยีใหม่สุดล้ำ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ไม่เหมือนใครควบคู่ไปกับตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เน้นกลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว พร้อมมุ่งหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั้งหมดทั่วประเทศภายใต้รูปลักษณ์และแนวคิดใหม่ภายในต้นปี 2019 เน้นพัฒนาบริการหลังการขาย มั่นใจปีนี้ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 60,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 15%
มาสด้ายังเดินหน้าต่อกับกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับลูกค้าและการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อเสนอทางเลือกที่มากขึ้นให้แก่ลูกค้า หลังจากได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการออกแบบอันสง่างาม เพิ่มความหรูหราพรีเมียมสไตล์ยุโรป โดยเฉพาะเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริงถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมและการประหยัดน้ำมัน ประกอบกับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่อัดแน่นเต็มคัน ส่งผลให้มียอดขายสูงกว่า 51,355 คัน ในปีผ่านมา เติบโต 21% โดยเฉพาะยอดขายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาทำสถิติใหม่เติบโตสูงสุดในตลาดถึง 39% ด้วยยอดขายสูงสุด 6,257 คัน
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวและปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีของฐานรายได้จากการส่งออก การลงทุนภาครัฐที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น, การปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติของการผลิตในภาคเกษตรและการฟื้นตัวของรายได้เกษตรกร รายได้ในภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มเร่งขึ้นรวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยเมื่อปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ยอดขายอุตสาหกรรมรถยนต์ไว้เกิน 800,000 คัน และขยับมาที่ 840,000 คัน แต่สามารถขายได้จริงประมาณการณ์อยู่ที่ 870,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้สูงถึง 13% เปรียบเทียบกับตัวเลขยอดรวมเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 768,788 คัน สำหรับมาสด้ามียอดขายเติบโตสูงถึง 51,355 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 21% และสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 5.9% โดยยอดขายในแต่ละรุ่นประจำปี 2560 มีดังนี้
- All New Mazda2 จำนวน 31,760 คัน เพิ่มขึ้น 37%
- All New Mazda3 จำนวน 4,979 คัน เพิ่มขึ้น 21%
- All New Mazda CX-5 จำนวน 4,835 คัน เพิ่มขึ้น 46%
- All New Mazda CX-3 จำนวน 3,812 คัน ลดลง 20%
- New Mazda BT-50 PRO จำนวน 5,939 คัน ลดลง 16%
- Mazda MX-5 จำนวน 30 คัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า มาสด้าประเมินสถานการณ์ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยในปี 2561 ว่ามีแนวโน้มและทิศทางที่สดใส จะเห็นได้จากงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปที่ผ่านมา แต่ละค่ายมียอดจองที่เพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมถึงในส่วนของมาสด้าเอง ซึ่งยอดจองที่สูงขึ้นนั้นได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยบวกหลายๆ ด้านที่เกิดขึ้นในประเทศ เช่น เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมา ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยจะมีความผันผวน โดยเฉพาะจากการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการรถคันแรกเมื่อปี 2554-2555 ซึ่งกำลังจะทยอยพ้นกำหนดห้ามซื้อขาย ตามเงื่อนไขของโครงการฯ ตั้งแต่ปลายปี 2559 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลส่งให้ในช่วงปี 2560-2562 เกิดความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ รวมไปถึงการที่ค่ายรถแต่ละค่ายต่างเริ่มทยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ตลงสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศได้ส่วนหนึ่ง
พร้อมกันนี้ นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ยังได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาธุรกิจของมาสด้าในปี 2561 โดยคาดว่ายอดขายรวมของตลาดรถยนต์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% หรือมากกว่า 920,000 คัน สำหรับมาสด้ามองว่ายอดขายปีนี้จะเพิ่มสูงกว่า 60,000 คัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 6% โดยปีนี้จะเน้นการบริการทั้งก่อนและหลังการขายด้วยการเสริมศักยภาพของทีมงาน รวมถึงการแนะนำรถใหม่เข้าสู่ตลาดอีก 4 รุ่น ควบคู่ไปกับกลยุทธ์การสื่อสารที่ฝ่ายการตลาดได้เพิ่มช่องทางการสื่อสารเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น
ทางด้าน นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ปีนี้เราจะเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดยเริ่มจากพัฒนาโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน ภายใต้รูปลักษณ์และคอนเซ็ปต์ใหม่ของมาสด้า หรือ Mazda Corporate Identity ซึ่งเป็นรูปแบบโชว์รูมที่มาสด้าได้มีการปรับปรุงภาพลักษณ์รูปแบบใหม่ เพื่อยกระดับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในโชว์รูม รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้ลูกค้ากับมาสด้าใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยรูปแบบการสื่อสารทางออนไลน์ ซึ่งมาสด้าได้ทำอย่างครอบคลุมหรือที่เรียกว่า Mazda Digital Platform ผ่านทางเว็บไซต์ www.mazda.co.th, Mobile site, Mazda Thailand Official Facebook, YouTube, LINE และ Instagram ที่จะรวมเอาข้อมูลของแบรนด์มาสด้าสำหรับผู้ที่สนใจและกลุ่มผู้ใช้รถมาสด้าสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างแบรนด์มาสด้าให้เกิดความแข็งแกร่งและยั่งยืน นอกจากนี้มาสด้ายังเป็นค่ายรถยนต์เพียงค่ายเดียวที่เข้าร่วมและสนับสนุนโครงการ "ก้าวคนละก้าว" เพื่อระดมทุนซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ นำโดยคุณอาทิวราห์ คงมาลัย หรือคุณตูน บอดี้สแลม ซึ่งทำการระดมทุนด้วยการวิ่งระยะไกลจากใต้สุดไปยังเหนือสุดของประเทศไทย โดยมาสด้าได้สนับสนุนรถมาสด้าจำนวนทั้งสิ้น 6 คันร่วมไปกับการวิ่งในครั้งนี้ และหนึ่งในนั้นคือรถยนต์ขนาดเล็กอย่างมาสด้า2 เครื่องยนต์คลีนดีเซล สกายแอคทีฟ ที่ถูกใช้เป็นรถเพื่อติดตั้งนาฬิกาจับเวลาลงบันทึกใน Guinness World Record นอกจากนี้โชว์รูมมาสด้าสินธานีที่จังหวัดเชียงราย ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในจุดแวะพักของคุณตูนและทีมงานก้าวคนละก้าวก่อนที่จะมีการวิ่งต่อไปยังอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นเส้นชัยของการวิ่งที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีเมื่อปีที่แล้ว มาสด้าได้เปิดประสบการณ์กับการเดินทางที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนโดยการนำสื่อมวลชนร่วมเดินทางเชื่อมโยงกลุ่มภูมิภาคอาเซียน ด้วยระยะทางกว่า 2,900 กิโลเมตร รวมถึงการเดินทางไปยังดินแดนที่ท้าทายอย่างไซบีเรียและรัสเซีย ด้วยระยะทางกว่า 6,500 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการรถยนต์ และยังเป็นการพิสูจน์สมรรถนะของรถมาสด้าที่ผลิตจากประเทศไทยและมาพร้อมเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ทั้งนี้เพื่อสานต่อการเดินทางที่ท้าทายนี้ มาสด้าเตรียมแผนงานเพื่อจะไปพิชิตเส้นทางในอีกหลายภูมิภาคต่อไปในอนาคต
ในขณะที่ นายอัสสึชิ ยาซูโมโต รองประธานบริหาร กล่าวถึงบทบาทของมาสด้าประเทศไทยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมาสด้าว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมหลายประเภทรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ ทั้งนี้ประเทศไทยมีศักยภาพทั้งในเรื่องของแรงงานและทำเลที่ตั้ง ซึ่งเหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดหลักตลาดหนึ่งของมาสด้าในด้านยอดขายที่สูงเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน สูงสุดติดกันมากกว่า 10 ปี
การผลิตสำคัญๆ ที่จากเดิมผลิตในประเทศญี่ปุ่นและส่งออกมายังประเทศฐานการผลิตต่างๆ ขณะนี้ได้ถูกถ่ายทอดมายังประเทศไทยเป็นลำดับ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ครบวงจรแห่งแรกของมาสด้านอกจากในประเทศญี่ปุ่นเอง โดยในประเทศไทยสามารถผลิตทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ รวมถึงการประกอบรถยนต์ ได้แก่ มาสด้า2, มาสด้า3, CX-3 และ มาสด้า BT-50 โปร ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ จังหวัดระยอง และยังได้เพิ่มส่วนของการผลิตที่โรงงานมาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย (MPMT) โดยจะเพิ่มการผลิตไปในส่วนของการผลิต เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ซึ่งสื่อมวลชนจะได้ไปสัมผัสไลน์การผลิตแห่งใหม่ในวันที่ 19 มกราคมนี้
และทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้คือยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนของมาสด้าที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 เพื่อต่อยอดความสำเร็จและความมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจอย่างยั่งยืน