กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เอเจนซี่ ศูนย์รวมอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ชี้ภาพตลาด ซื้อ-ขาย-เช่า คอนโดมิเนียมในกทม. ยังไปได้สวย คนแห่ซื้อเก็บและลงทุนหวังเป็นทางเลือกใหม่ของการออมที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าฝากแบงก์
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดซื้อ-ขาย-เช่า คอนโดมิเนียมมือสองในเขตกทม. มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคหันมาสนใจซื้อเพื่อลงทุน เนื่องจากมีผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ทั้งนี้เพราะความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวยังมีอยู่อีกมาก ซึ่งคอนโดมิเนียมที่นิยมซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเมือง ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพใกล้กับรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ดังนั้น คอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในเมืองจึงมีราคาขายต่อตารางเมตรสูง จากผลวิจัย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า พื้นที่ที่มีราคาสูงเป็นอันดับ 1 คือ ย่านถนนราชดำริ เพลินจิต และร่วมฤดี เนื่องจากราคาที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างสูง ปัจจุบันราคาของคอนโดมิเนียมที่ขายอยู่ มีราคาสูงเฉลี่ยตั้งแต่ 130,000 — 180,000 บาทต่อตารางเมตร อันดับที่ 2 คือ สีลมและสาทร ราคาเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้อยู่ที่ 110,000 — 160,000 บาทต่อตารางเมตร อันดับที่ 3 คือ สุขุมวิท ช่วงประมาณซอย 24 — ซอยทองหล่อ ราคาที่สูงเฉลี่ยอยู่ที่ 95,000 — 130,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้คอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า BTS จะได้รับอานิสงส์ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดีกว่า และทำให้ราคาเช่าต่อตารางเมตรมีราคาสูงกว่า หากเป็นทำเลในซอยก็ต้องเป็นซอยที่มีศักยภาพดี อยู่ในระยะที่เดินถึง BTS ได้ หากเป็นซอยที่สภาพแวดล้อมไม่ดี ก็ทำให้ราคาขายต่อตารางเมตรไม่สูงนัก และที่รองลงมาจากตลาดคอนโดมิเนียมก็คือ ตลาดทาวน์เฮ้าส์ ส่วนตลาดอื่นๆ ยังคงทรงตัวไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา
สำหรับตลาดเช่าพบว่าพื้นที่ที่ราคาค่าเช่าสูงที่สุด คือ ราชดำริ เพลินจิต ชิดลม หลังสวน โดยมีอัตราค่าเช่า ตั้งแต่ 700 บาทต่อตารางเมตรไปจนถึง 1,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนราคารองลงมา คือ สุขุมวิทชั้นใน มีอัตราค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 600-700 บาทต่อตารางเมตร โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมมากในกลุ่มผู้เช่าชาวต่างชาติ ทำเลที่มีค่าเช่าสูงเป็นอันดับ 3 คือ ย่านสีลมและสาทร ที่พบว่าระยะหลังราคาลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่อัตราค่าเช่า 350-450 บาทต่อตารางเมตร สาเหตุอาจเนื่องมาจากไม่มีคอนโดมิเนียมใหม่ๆ ในบริเวณสีลมและสาทร ทำให้ราคาของค่าเช่าตึกเก่าลดต่ำลง
“จากที่ทีมงานพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เอเจนซี่ คลุกคลีกับตลาดกลุ่มนี้มาเป็นระยะเวลานาน พบว่าพฤติกรรมผู้ซื้อ-เช่าคอนโดมิเนียม หรือบ้านเดี่ยวในเมืองนั้น จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กลุ่มที่ทำการซื้อขายกว่า 80% เป็นคนไทย และมีงบประมาณเพื่อการซื้อหาคอนโดมิเนียมในเมืองขนาด 1-2 ห้องนอน ราคาประมาณ 5-7 ล้านบาท ส่วนระดับราคาที่ 3-5 ล้านบาท จะเป็นทำเลที่ขยายออกไปรอบนอก ส่วนในตลาดเช่าพบว่ากว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรป โดยในระยะหลังช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีตัวเลขการเช่าของชาวเอเชียเพิ่มมากขึ้น เช่น ตลาดญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น โดยกลุ่มนี้จะมีงบประมาณในการเช่าคอนโดหรืออพาร์ทเม้นท์ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000-80,000 บาท แต่หากเป็นการเช่าในลักษณะของบริษัท (corporate) จะเป็นการเช่าบ้านเดี่ยวที่มีบริเวณ และมีห้องนอนตั้งแต่ 3 ห้องนอนขึ้นไป ระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 100,000 — 200,000 บาท ทั้งนี้ตัวเลขการซื้อขายคอนโดมิเนียมสำหรับชาวต่างชาติอาจลดลง เนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและนโยบายของภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจน แต่อัตราการขายและเช่าก็ยังคงอยู่ในปริมาณที่ดี เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการอาจมีการชะลอตัวในส่วนของตลาดเช่า ทำให้มี supply ในตลาดให้เห็นไม่มาก ส่งผลให้โอกาสการขยายตัวของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมใหม่เพื่อมาปล่อยเช่ามีเยอะ”
“ปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เอเจนซี่ ศูนย์ให้บริการ ซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ มีทั้งสิ้น 5 สาขา บริหารอสังหาริมทรัพย์เพื่อซื้อ-ขาย-เช่า รวมมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่เป็นคอนโดมิเนียมมือสองที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่าที่อยู่เขตใจกลางกรุงเทพฯ ได้แก่ ราชดำริ เพลินจิต ร่วมฤดี และสุขุมวิท กว่า 1,300 รายการ ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทยในปัจจุบัน โดยนำเสนอรูปภาพสินทรัพย์และรายละเอียดอย่างครบครันผ่าน www.thaipropertyplus.com โดยปัจจุบันได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมากที่มีเงินเย็นและต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่าแก่ชาวต่างชาติที่มาทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองไทย หรือแม้กระทั่งคนไทยที่ต้องการชีวิตที่สะดวกสบายในกลางใจเมืองครบครันด้วยระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ก็เริ่มหันมาเช่ากันเพิ่มมากขึ้น และหากถามว่าการซื้อในลักษณะนี้เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจหรือไม่นั้น ตอบได้เลยว่าไม่แน่นอน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มีเงินอยู่ในมือและต้องการค่าตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากแบงก์ เพราะหากจะหวังไปกู้เพื่อมาลงทุนในปัจจุบันนี้หากฐานการเงินไม่มั่นคงพอแบงก์ก็คงไม่อนุมัติเงินกู้แน่นอน” นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กล่าวสรุป