กรุงเทพฯ--17 ม.ค.--Extravaganza PR
ด้วยตระหนักว่าสังคมและประเทศชาติจะเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต้องเริ่มจากทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ การศึกษานับเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคน มูลนิธิเอสซีจีจึงได้ดำเนินโครงการค่ายอาสา ก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 38 ณ โรงเรียนบ้านอ้อวิทยา ตำบลสันดอนแก้ว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เพื่อให้เด็กๆ มีห้องเรียนที่เพียงพอและมีบรรยากาศการเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพราะเด็กๆ ในวันนี้จะเติบโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นที่เด็กและเยาวชน ได้ดำเนินโครงการค่ายอาสา โดยมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ด้วยความตั้งใจที่จะปลูกฝังให้พนักงานเอสซีจีมีจิตอาสา ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านต่างๆ รวมถึงมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและตอบแทนสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคมจนกลายเป็น DNA ของชาวเอสซีจี จวบจนวันนี้พนักงานเอสซีจียังคงเสียสละวันหยุดพักผ่อนประจำปีเพื่อเป็นอาสาสมัครร่วมเดินทางกับมูลนิธิเอสซีจีไปก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนอาคารเรียน นับเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจีและความร่วมมืออันดีจากบริษัทในเครือเอสซีจีในการสนับสนุนวัสดุก่อสร้าง
ในปี 2560 มูลนิธิฯ ได้นำคนค่ายจิตอาสาออกค่ายก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 38 ณ โรงเรียนบ้านอ้อ ตำบลสันดอนแก้ว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น และเป็นโรงเรียนศูนย์กลางที่รองรับการยุบโรงเรียนขนาดเล็กในเขตอำเภอแม่ทะ ปัจจุบันมีอาคารเรียนอยู่ 3 หลัง จำนวนเด็กนักเรียน 185 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเรียนการสอน มูลนิธิเอสซีจีและชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีจึงได้ร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ มุ่งหวังให้อาคารหลังนี้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียน และพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษา เพื่อมอบเป็นของขวัญอันมีค่าให้แก่น้องๆ ได้ใช้ศึกษาหาความรู้กันต่อไป รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,000,000 บาท เพื่อมอบให้แก่น้องๆ เยาวชนและชาวชุมชนโรงเรียนบ้านอ้อ
สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า "ที่ผ่านมามูลนิธิเอสซีจีได้ส่งมอบอาคารเรียนให้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไปแล้ว 37 หลัง และห้องน้ำ 10 หลัง เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนไทยให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ในฐานะตัวแทนมูลนิธิเอสซีจี อยากเห็นเด็กๆ ทุกคนที่โรงเรียนบ้านอ้อวิทยา มีความสุขที่ได้เล่าเรียนในอาคารเรียนหลังใหม่นี้ มีความพร้อมเข้าสู่การศึกษาในยุค Thailand 4.0 คือ นอกจากมีความรู้แล้ว ยังต้องมีคุณธรรม และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ เติบโตเป็นคนเก่งและดีในวันข้างหน้า เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดไป"
สำหรับอาคารเรียนหลังที่ 38 นี้ มูลนิธิเอสซีจีได้ทำการปรับปรุงแบบก่อสร้างใหม่ โดยนำนวัตกรรมต่างๆ ของบริษัทในเครือเอสซีจีมาประยุกต์ในการออกแบบ เช่น การติดตั้งเสาเหล็กและโครงสร้างอาคารด้วยวิธี Nut & Bolt และขยายพื้นที่บริเวณระเบียงและทางเดินรอบอาคารเรียน ซึ่งรวมพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้างและเพิ่มพื้นที่การใช้งานของนักเรียน รวมไปถึงการเพิ่มทางลาดชัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน Universal Design ซึ่งเป็นการออกแบบสำหรับทุกคน และครอบคลุมการใช้สอยที่หลากหลาย โดยอาคารเรียนดังกล่าวเป็นอาคารชั้นเดียวขนาด 15 เมตร x 43.20 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน ขนาดห้องละ 69 ตารางเมตร อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด และครู นักเรียน ตลอดจนชาวบ้าน ที่ได้มาร่วมกันสร้างอาคารเรียน ทาสีสนามเด็กเล่นและปรับปรุงโรงอาหาร รวมถึงช่วยกันตกแต่งห้องเรียนให้มีชีวิตชีวา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการผนึกกำลังร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน
ด้านทวี ศรีธิ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านอ้อวิทยา เผยถึงความรู้สึกตื้นตันในการได้รับอาคารเรียนหลังใหม่ว่า "เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่เรียนที่นี่มีฐานะยากจน ขาดแคลนทุนทรัพย์ พ่อแม่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เป็นหลัก อีกทั้งโรงเรียนยังเป็นพื้นที่รองรับเด็กที่อยู่ในเกณฑ์เข้าเรียนของทั้งตำบลด้วย แต่เนื่องจากโรงเรียนมีขนาดเล็กทำให้ห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็กนักเรียน การที่มูลนิธิเอสซีจีและจิตอาสาทุกท่านได้เดินทางมาสร้างอาคารเรียนให้ในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องดีและพวกเรารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ผมขอเป็นตัวแทนเด็กๆ และคนในชุมชน ขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา และไม่ลืมเด็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงได้เข้ามาช่วยเหลือสร้างอาคารเรียนและมอบอุปกรณ์การเรียน ทำให้โรงเรียนมีอาคารเรียนที่เพียงพอต่อจำนวนเด็ก อีกทั้งยังช่วยสร้างรอยยิ้มและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กๆ ให้พวกเขามีอนาคตที่สดใส"
ธนพงศ์ เสนาชัย วิศวกร หน่วยงาน Marketing Ceiling and Wall Systems อดีตนักเรียนทุนมูลนิธิ เอสซีจีบอกเล่าความรู้สึกของการร่วมเดินทางมาเป็นคนค่ายจิตอาสาว่า "ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผู้ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจี จนเรียนจบปริญญาตรีและมีอาชีพการงานที่ดีทำ ครั้งนี้ผมจึงอยากส่งต่อโอกาส ทางการศึกษาให้แก่น้องๆ ในถิ่นทุรกันดาร การมาออกค่ายทำให้ผมมองเห็นพลังของจิตอาสาทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ของเพื่อนพนักงานเอสซีจี ที่มาร่วมแรงแข็งขัน ทุ่มเทเสียสละเพื่อให้เด็กๆ มีอาคารเรียนหลังใหม่ พวกเราไม่ใช่เพียงแต่สร้างอาคาร แต่เรากำลังสร้างรอยยิ้ม สร้างมิตรภาพและความสุขให้กับเด็กๆ และทุกคนในชุมชนอีกด้วย"
ด้าน นางสาวณัชชา ตัณทชน จาก CPAC พนักงานจิตอาสารุ่นใหม่ที่ร่วมออกค่ายกล่าวเสริมว่า "เป็นการให้ที่ไม่สิ้นสุด โครงการค่ายอาสา โดยมูลนิธิเอสซีจี เป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กๆ ให้พวกเขาได้มีสถานที่สำหรับเพิ่มพูนทักษะการเรียนรู้ ซึ่งความรู้นี้ก็จะติดตัวน้องๆ ไปตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ส่งมอบอาคารเรียน จะรู้สึกภูมิใจมาก และปลาบปลื้มใจมากที่ได้เห็นน้องๆ มีรอยยิ้มและความสุขกับอาคารเรียนหลังใหม่ ห้องเรียนใหม่ โต๊ะเรียนใหม่ ที่พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจสร้างกันขึ้นมา เชื่อว่าอาคารเรียนหลังนี้จะสร้างเด็กและเยาวชน สร้างคนคุณภาพที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป"
การให้โอกาสทางการศึกษา คือ การให้ที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยเชื่อมั่นในคุณค่าของคน มูลนิธิเอสซีจีจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารเรียนแห่งนี้จะเป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กๆ ให้มีโอกาสใน การเรียนรู้และเติบโตเป็นคนคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศสืบไป