กรุงเทพฯ--22 ม.ค.--สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ เป็นหน่วยงานกลาง ในการบูรณการร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และ เอกชน อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ในการยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับอัญมณีและเครื่องประดับจากประเทศไทย-ในต่างประเทศโดยให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานพลอยสี เช่นทับทิม และไพลิน สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีชั้นนำของโลก หวังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีชั้นนำของโลก เน้นการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจชุมชน และสร้างความเชื่อมั่นในการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย ปีละกว่า 35 ล้านคน ให้สามารถซื้ออัญมณีและเครื่องประดับได้อย่างมั่นใจ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเข้าเยี่ยมชมสถาบัน GIT และ มอบนโยบายในการดำเนินงานเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในครั้งนี้ เพื่อต่อยอดและเร่งดำเนินการตามยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ประจำปี ๒๕๖๑ โดยมอบหมายให้ สถาบัน GIT เร่งจัดทำแผนการดำเนินงาน ให้สอดรับกับแผนการปฏิบัติงาน ประจำปี ๒๕๖๑ อันได้แก่ การเพิ่มศักยภาพและสร้างตลาดให้กับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับให้เป็นสากลและเพิ่มช่องทางการตลาด การสร้างภาพลักษณ์ (Country Image) ของประเทศไทยเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับโลกและสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งเรื่องคุณภาพมาตรฐาน การพัฒนาการตลาดยุคใหม่ผ่านระบบออนไลน์ (Digital Marketing/ E- Commerce) การเพิ่มขีดความสามารถวิจัยและนวัตกรรมด้านอัญมณีและเครื่องประดับอย่างครบวงจร รวมถึงการเป็นหน่วยงานกลางอย่างมืออาชีพ ในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งบูรณาการรับกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งการพัฒนาฝีมือแรงงาน และ การลงไปช่วยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเสียส่วนใหญ่ราวร้อยละ ๘๐ โดยสถานการณ์ส่งออกของประเทศในช่วง ๑๑ เดือนแรกของปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมาสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับยังคงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ ๓ ของประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๕ ของมูลค่าการส่งออกสินค้าโดยรวม มีมูลค่าส่งออกรวม ๑๒,๐๓๙.๐๒ ล้านเหรียญสหรัฐ (๔๐๙,๒๓๗.๖๒ ล้านบาท) ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๐ ขณะที่มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำขยายตัวได้เกือบร้อยละ ๒ และมีการส่งออกทับทิมด้วยมูลค่า ๓๓๙ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๙ ร้อยละ ๒๘ ส่วนไพลิน มีมูลค่าส่งออก ๓๑๖ ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตได้เกือบร้อยละ ๒๐ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการส่งออกไทย ซึ่งในปี ๒๕๖๐ ที่ผ่านมาไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับอันดับ ๑๓ ของโลก และคาดว่าในปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ มีแนวโน้มที่จะส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับได้เพิ่มมากขึ้น โดยการส่งออกนั้นมีส่วนสำคัญที่ช่วยกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการ และ แรงงาน ตั้งแต่ต้นน้ำ – ปลายน้ำ ทั้งที่อยู่ในส่วนกลาง และ ภูมิภาค ซึ่งมีประมาณ 2,000,000 คน ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นสำหรับโครงการเด่นๆ ที่มอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ดำเนินการเร่งด่วน ในปี ๒๕๖๑ นั้น อาทิ
๑. การพัฒนาผู้ประกอบการใน ๖ ภูมิภาค โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ เห็นความสำคัญด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ โดยมอบหมายให้สถาบันทำการลงพื้นที่ ดำเนินงานและติดตามประเมินผล ตามแผนการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ในส่วนภูมิภาค สถาบันฯ ส่งทีมงานลงพื้นที่ติดตามใกล้ชิด เริ่มจากตำบลด่านเกวียน จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ด้านอัญมณีและเครื่องประดับ อาทิ สุโขทัย น่าน เชียงใหม่ สุรินทร์ จันทบุรี ตราด และเพชรบุรี ทั้งนี้ เพื่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับสามารถผลิต และออกแบบสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และตรงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ โดยต่อจากนี้ให้สถาบันฯ เร่งออกแบบและจัดทำหลักสูตรด้านอัญมณีและเครื่องประดับที่ให้ความรู้ แบบครบวงจรทั้งด้านการผลิต การออกแบบทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติจริง โดยเน้นให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ผลงานหรือชิ้นงานที่ได้จะถูกนำมา จัดแสดงและจำหน่ายใน Museum Gallery และ Gallery Shop ของสถาบัน รวมทั้งให้ประสานกับกรมพัฒนาธุรกิจฯ เพื่อต่อยอดด้านการบริหารจัดการ E-Commerce และประสานกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนด้านการตลาดอย่างเป็นระบบ รวมทั้งประสานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำให้เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอัญมณีและเครื่องประดับต่อไปอย่างยั่งยืน
๒. Gems & Jewelry Training Institute เน้นให้สถาบันที่เน้นการเรียนการสอนทั้งด้านเทคนิค การผลิต การออกแบบ และการสร้างแบรนด์ และยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเจียระไนเพชร พลอยที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยสอนตั้งแต่ระดับช่างฝืมือ พนักงานขาย ไปจนถึงผู้ประกอบการ
๓. แผนยกระดับคุณภาพและมาตรฐานโลหะมีค่า เช่น ทอง เงิน แพลทินั่ม ฯลฯ โดยวิธีการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และการนำระบบ Hallmark มาใช้ในประเทศไทย โดยการสมัครใจ พร้อมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศเพื่อเพิ่มคุณภาพในตัวเครื่องประดับ ซึ่งจะทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกเครื่องประดับมากยิ่งขึ้น Hallmark เป็นตราสัญลักษณ์ที่ตอกหรือประทับ ลงบนสินค้า เพื่อแสดงค่าความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า เป็นมาตรการสากลที่สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อ ตราที่ประทับนี้ประกอบไปด้วยตราหน่วยงานกลาง ซึ่งก็คือ GIT, ตราความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และตราของผู้ผลิต
๔. การรวบรวมและจัดทำ ฐานข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับทั่วประเทศ ว่าแต่ละ Cluster มีจำนวนผู้ผลิต ผู้ค้าเท่าใด อยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลาง ของประเทศ โดยจะเริ่มต้นจากจันทบุรีก่อน เพื่อเป็นการบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อจัดให้เป็น ๑ ในเส้นทางการท่องเที่ยวอัญมณีและเครื่องประดับของไทย
๕. การสร้างเฟรนไชส์ในต่างประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และ แบรนด์อิมเมจ ในการตรวจสอบอัญมณีและเครื่องประดับ ให้เกิดความเชื่อมั่นในอัญมณีและเครื่องประดับที่ผ่านการตรวจและรับรองจากสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งการเผยแพร่การอบรมหลักสูตรด้านอัญมณีและเครื่องประดับที่เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ให้ก้าวไปในระดับนานาชาติ มากยิ่งขึ้น
นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า "การที่เข้าเยี่ยมชม GIT ครั้งนี้ สืบเนื่องจาก GIT มีผลงานที่โดดเด่น และ มีส่วนช่วยในการผลักดันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอย่างมาก ซึ่งในต้นปีงบประมาณที่ผ่านมา สถาบันก็ได้มีการจัดการประชุม งาน World Jewelry Confederation: CIBJO Congress ๒๐๑๗ ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับวงการอัญมณีและเครื่องประดับโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒ – ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้จัดให้มีการจัดงาน World Ruby Forum ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุม จะได้อัพเดททุกเรื่องราว ในทุกแง่มุมของอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่ต้นน้ำ – ปลายน้ำ ผ่านประสบการณ์ของนักวิชาการ อัญมณี นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีและเครื่องประดับ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนจากนานาประเทศ ซึ่งการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมนั้น ถือได้ว่าสำคัญในการแสดงให้เห็นความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านอัญมณีและเครื่องประดับของโลก และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทย
อีกทั้งสถาบัน ยังมีการจัดทำโครงการ Buy With Confidence หรือ โครงการซื้อด้วยความมั่นใจ ที่จะเป็นส่วนช่วยให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการเลือกซื้ออัญมณีและเครื่องประดับที่ได้มาตรฐาน และ สมราคามากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาทางด้านการค้าอัญมณีและเครื่องประดับในกลุ่มของนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยขณะนี้ได้มีจัดทำโครงการเพื่อต่อยอดในการพัฒนาให้ดำเนินการในส่วนของ E-Buy With Confidence ซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าอัญมณีได้ผ่านระบบออนไลน์อีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังได้ดำเนินการรวบรวมปัญหา และ อุปสรรค ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่ต้นน้ำ – ปลายน้ำ เพื่อนำเสนอยังคณะรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางการแก้ไข และการสนับสนุนเพื่อทำให้เกิดการปฏิรูปในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน"