กรุงเทพฯ--8 ต.ค.--ธ.กสิกรไทย
เครือกสิกรไทย เปิดตัวบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า พร้อมตั้งกองทุนแรกขนาด 200 ล้านเข้าร่วมลงทุน หวังช่วยเอสเอ็มอีขยายธุรกิจโดยไม่ติดขัดเรื่องเงินทุน ตั้งเป้าปีแรกร่วมทุน 10 บริษัท มูลค่าเงินลงทุน 100-150 ล้านบาท
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารกสิกรไทย ได้ดำเนินโครงการ K SME Care ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ K NOW เพื่อช่วยเหลือพัฒนา ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะมีการให้คำปรึกษา ความรู้และการเรียนรู้ที่มีประโยชน์แก่เอสเอ็มอีรวมทั้งเงินทุน เพื่อขยายธุรกิจให้แก่เอสเอ็มอี จึงได้มีการจัดตั้ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด (บลท.ข้าวกล้า) โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เป็นผู้ถือหุ้น 100% และมี คุณปฐมาพร ไชยกูล เป็นกรรมการผู้จัดการ ทั้งนี้ธนาคารกสิกรไทย จะใช้เงินลงทุนจำนวน 200 ล้านบาท ตั้งเป็นนิติบุคคลร่วมลงทุน เค-เอสเอ็มอี ร่วมทุน หรือ K-SME Venture Capital เพื่อร่วมลงทุนในเอสเอ็มอี ที่ยังขาดเงินทุนในการขยายธุรกิจ
นางสาวปฐมาพร ไชยกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเอสเอ็มอีของไทยที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจมีจำนวนมาก ซึ่งแต่ละบริษัทผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีการเติบโตของธุรกิจสูง จนขาดแคลนเงินทุนในการนำมาขยายกิจการ ซึ่ง บลท.ข้าวกล้า จะพิจารณาสนับสนุนเงินทุนแก่เอสเอ็มอี ในลักษณะการเข้าไปร่วมลงทุน ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีมีเงินทุนขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับคุณสมบัติของเอสเอ็มอีที่ K-SME Venture Capital จะเข้าร่วมลงทุน ต้องมีมูลค่า สินทรัพย์ถาวร (ไม่รวมที่ดิน) ไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน ดำเนินกิจการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี หากกรณีที่ดำเนินกิจการไม่ถึง 3 ปี ผู้บริหารหรือเจ้าของควรมีประสบการณ์ในธุรกิจนั้น ๆ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีการบริหารจัดการที่ดี โดยเน้นหลักธรรมาภิบาล ดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ไม่ขัดต่อศีลธรรม หรือไม่ก่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ผู้ถือหุ้นใหญ่ เจ้าของ หรือผู้บริหาร ของบริษัท ไม่มีประวัติด่างพร้อย หรือเป็นบุคคลล้มละลาย และยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI)
บลท.ข้าวกล้า มีนโยบายการลงทุน (Investment Policy) ในเอสเอ็มอี สัดส่วนประมาณ 10-50% ของทุนจดทะเบียนหลังร่วมลงทุนแล้ว โดยจะลงทุนในลักษณะผู้ลงทุนทางการเงิน (Financial Investor) เท่านั้น ไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารจัดการประจำวันของธุรกิจ นอกเหนือจากการใช้สิทธิในฐานะ
ผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง โดยเจ้าของกิจการต้องถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่านิติบุคคลร่วมลงทุน ทั้งนี้มีระยะเวลาการร่วมลงทุนในแต่ละกิจการประมาณ 5 ปี และลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งรวมกันไม่เกิน 33%ของทุนจดทะเบียนของนิติบุคคลร่วมลงทุน ทั้งนี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
โดย บลท.ข้าวกล้า ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการพิจารณาการลงทุน ได้แก่ คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด คุณตัน ภาสกรนที ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)คุณสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย แอสโซซิเอตเต็ด จำกัด คุณกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ จำกัด และ คุณวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทั้ง 5 ท่าน เป็นนักธุรกิจที่มีประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ และสามารถนำประสบการณ์ของแต่ละท่านมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้
บลท.ข้าวกล้า ตั้งเป้าลงทุนในเอสเอ็มอีในปีแรกประมาณ 100-150 ล้านบาท โดยขณะนี้มีรายชื่อเอสเอ็มอีที่แสดงความสนใจให้กองทุนร่วมลงทุนเข้าไปถือหุ้นแล้วประมาณ 10 ราย
โครงการ K SME Care
โครงการ K SME Care ของธนาคารกสิกรไทยเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขัน มีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะครอบคลุมด้านต่างๆ ดังนี้
Capital การสนับสนุนด้านเงินทุน โดยจะจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด เพื่อบริหารกองทุน (K SME Venture Capital Fund) ที่มีนโยบายเข้าไปร่วมถือหุ้นในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกองทุนจะถือหุ้นในเอสเอ็มอีประมาณ 5 ปี ด้วยเงินลงทุนขั้นต้น 200 ล้านบาท การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนนี้จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ นอกเหนือจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร
Advice การพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการโดยร่วมมือกับ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) และสถาบันคีนันแห่งเอเซีย (KIAsia)ในการให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ ผ่าน โครงการบริการวินิจฉัยธุรกิจ (Business Competitiveness Diagnosis) และโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพในเรื่องของ Logistics/Supply Chain Management
Research ผู้ประกอบการจะได้รับข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์จาก K-SME Analysis บริการ บทวิเคราะห์ธุรกิจเอสเอ็มอีกสิกรไทย เพื่อประกอบการตัดสินใจและการป้องกันความเสี่ยงในธุรกิจ
Education การพัฒนาโครงการส่งเสริมการจัดการที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม คณะพาณิชย-ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดคอร์สอบรม K SME Care แก่ผู้ประกอบการอย่าง ต่อเนื่องผ่านเครือข่ายธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ